ศาลฎีกา
The Supreme Court of Thailand

History of The Supreme Court

ประวัติความเป็นมา

        ศาลฎีกาของไทยมีวิวัฒนาการมาจากระบบการทำหน้าที่ตรวจฎีกาและทำความเห็นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย การทำหน้าที่ดังกล่าวเริ่มมีระบบและอ้างอิงได้ชัดเจน ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ซึ่งมีชื่อเรียกหน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้ว่ากรมตรวจฎีกาหรือศาลฎีกาขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดตั้งขึ้น เมื่อพ.ศ.๒๔๑๗ (ร.ศ.๙๓) ผู้ดูแลรับผิดชอบหน่วยงานนี้เรียกว่า “อธิบดีศาลฎีกา”

        ในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ (ร.ศ.๑๑๐) ได้มีพระบรมราชโองการจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมโดยรวบรวมศาลที่พิจารณาพิพากษา คดีซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆของทางราชการให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมแก่ราษฎรในประกาศฉบับนี้ได้เริ่มมีระบบศาลสูงสำหรับพิจารณา ความอุทธรณ์ ทำหน้าที่ทบทวนคำพิพากษาของศาลล่าง โดยยกศาลฎีกามาทำหน้าที่นี้ โดยเรียกว่า “ศาลอุทธรณ์ คดีหลวง” ควบคู่ไปกับ “ศาลอุทรณ์ คดีราษฎร์”

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร
อธิบดีศาลฎีกาพระองค์แรก

        ส่วนฎีกาที่ราษฎรทูลเกล้าฯ ถวายนั้น ให้เป็นหน้าที่ขององคมนตรีหรือที่ประชุมเสนาบดี ซึ่งจะโปรดเกล้าฯทรงตั้งขึ้นเป็นครั้งคราวแต่ลักษณะของฎีกาจะถูกจำกัดอยู่เฉพาะการโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทรณ์ทั้งสองศาลดังกล่าว และการกล่าวโทษเสนาบดี เจ้ากระทรวงทั้งปวงในเรื่องที่ไม่อาจฟ้องร้องเป็นคดีได้เท่านั้น ถัดมาในปี พ.ศ.๒๔๓๕ (ร.ศ.๑๑๑) งานในหน้าที่ของศาลอุทรณ์คดีหลวงลดลง จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตราพระราชบัญญัติจัดการในสนามสถิตย์ยุติธรรมรัตนโกสินทรศก ๑๑๑ ขึ้น โดยมีเนื้อความสรุปว่างานในศาลสูงโดยเฉพาะศาลอุทรณ์คดีหลวงลดลงจึงให้ยกเลิกคงเหลือแต่ศาลอุทรณ์คดีราษฎร์ จึงเท่ากับว่าศาลที่พิจารณาความอุทธรณ์จากนี้ต่อไปคงมีเพียงศาลเดียว แต่คดีในศาลล่างบางศาลเพิ่มขึ้นจึงตั้งศาลล่างเพิ่ม (ร.ศ. ๑๑๗) มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งกรรมการตัดสินความฎีกา

        กรรมการตัดสินความฎีกาจะกำหนดตัวบุคคลที่เป็นกรรมการไว้แน่นอนจำนวนหนึ่ง การตัดสินชี้ขาดนั้นมีลักษณะของการพิจารณาเป็นองค์คณะ โดยไม่น้อยกว่า ๓ คนจึงจะมีอำนาจตรวจตัดสินฎีกาได้ คณะกรรมการตัดสินความฎีกาได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนถึง ปี พ.ศ.๒๔๕๑ (ร.ศ.๑๒๗) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม กับพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่งรัตนโกสินทรศก ๑๒๗ ขึ้นแบ่งศาลออกเป็น ๓ แผนก แผนกที่ ๓ คือ ศาลฎีกาให้เป็นศาลสูงสุดในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง รับผิดชอบต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีก ๒ แผนกที่เหลือแบ่งเป็นศาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร (ศาลสถิตย์ยุติธรรมกรุงเทพฯ) และศาลในส่วนภูมิภาค(ศาลหัวเมือง) โดยยังคงมีศาลอุทธรณ์ ๑ ศาล เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว ห้ามคู่ความทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาอีก โดยกำหนดองค์คณะตรวจตัดสินฎีกาไม่น้อยกว่า ๓ คน นับได้ว่าเป็นการเริ่มระบบการพิจารณาคดีที่เพิ่มศาลสูงเป็น ๒ ระดับจากศาลอุทธรณ์ไปสู่ศาลสูงสุดคือศาลฎีกา

        เมื่อเริ่มรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ในปี พ.ศ.๒๔๕๕ ได้มีพระบรมราชโองการประกาศจัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรมแยกหน้าหน้าที่ฝ่ายธุรการและฝ่ายตุลาการออกจากกัน แล้วยกศาลฎีกาเข้ามา รวมอยู่ในกระทรวงยุติธรรม และได้โปรดเกล้าฯ ตั้งอธิบดีศาลฎีกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นประธานในฝ่ายตุลาการ ส่วนฝ่ายธุรการมีเสนาบดีเป็นผู้รับผิดชอบดูแล ต่อมาภายหลังเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแยกอำนาจตุลาการออกจากอำนาจบริหารเป็นสัดส่วน จึงได้มีประกาศใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พุทธศักราช ๒๔๗๗ แบ่งศาลออกเป็น ๓ ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูงสุดของประเทศ โดยมีอธิบดีศาลฎีการับผิดชอบงานของศาลฎีกา ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งจากอธิบดีศาลฎีกาเป็นประธานศาลฎีกาใน

        ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ส่วนงานบริหารของศาลนั้นยังขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรม ในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๕ บัญญัติให้ศาลยุติธรรมมีหน่วยธุรการของศาลยุติธรรมที่เป็นอิสระ เป็นผลให้ศาลยุติธรรมแยกงานบริหารออกจากกระทรวงยุติธรรมโดยเด็ดขาด โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยธุรการและขึ้นตรงต่อประธานศาลฎีกา ตามมาตรา ๒๗๒ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวโดยมีพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ กำหนดให้ศาลยุติธรรมยังคงมีสามชั้นคือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และ ศาลฎีกา เช่นเดิม ศาลฎีกาจึงยังคงเป็นศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศ

ระบบศาลไทยในบัจจุบัน

“ศาล” เป็นหนึ่งในองค์กรหลักของการปกครองประเทศ ซึ่งเป็นผู้ใช้ “อำนาจตุลาการ”
ทำหน้าที่ตรวจสอบว่า กฎหมายต่าง ๆ ได้รับการเคารพและปฏิบัติตามหรือมีการละเมิดกฎหมายเหล่านั้น หรือไม่

        ปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และรับหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจอธิปไตยมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม โดยให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๓ บัญญัติว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”

        ประเทศไทยใช้ระบบศาลคู่ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน โดยมีศาลยุติธรรมเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๙๔)

ศาลยุติธรรมมี ๓ ชั้นศาล คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา

        ศาลฎีกาเป็นศาลยุติธรรมสูงสุด มีเขตอำนาจทั่วราชอาณาจักรมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการฎีกา และมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยตรงต่อศาลฎีกาตามกฎหมายเฉพาะ และคดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาพิพากษา รวมทั้งมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดหรือสั่งคำร้องคำขอที่ยื่นต่อศาลฎีกาตามกฎหมาย คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นที่สุด

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงพระราชทานแก่ข้าราชการของศาลยุติธรรมในพิธีเปิดอาคารที่ทำการศาลแพ่งและศาลฎีกา
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๖

เรื่องราวประวัติอาคารที่ทำการศาลฎีกา

รับชมวีดิทัศน์บอกเล่าเรื่องราวประวัติอาคารที่ทำการศาลฎีกา