แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

Order and Leave to Dika Appeal Division

ประวัติการก่อตั้ง

การพิจารณาบรรดาคดีที่คู่ความยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กฎหมายวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ รวมทั้งการพิจารณาสั่งคำร้องขอที่คู่ความยื่นต่อศาลตามกฎหมาย ศาลฎีกาต้องพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ มีประสิทธิภาพ และคู่ความได้รับทราบคำสั่งศาลฎีกาในเวลาอันรวดเร็ว ศาลฎีกาจำเป็นต้องมีการพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารจัดการคดีที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของแผนกคดีพิเศษในศาลฎีกาให้รวมอยู่ด้วยกัน เพื่อเป็นการอำนวยความยุติธรรมแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

ประวัติการก่อตั้ง

การพิจารณาบรรดาคดีที่คู่ความยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กฎหมายวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ รวมทั้งการพิจารณาสั่งคำร้องขอที่คู่ความยื่นต่อศาลตามกฎหมาย ศาลฎีกาต้องพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ มีประสิทธิภาพ และคู่ความได้รับทราบคำสั่งศาลฎีกาในเวลาอันรวดเร็ว ศาลฎีกาจำเป็นต้องมีการพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารจัดการคดีที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของแผนกคดีพิเศษในศาลฎีกาให้รวมอยู่ด้วยกัน เพื่อเป็นการอำนวยความยุติธรรมแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมจึงออกประกาศให้จัดตั้งแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกาขึ้น เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ มีอำนาจพิจารณาคำร้องทั่วไป คำร้องขออนุญาตฎีกาคดีค้ามนุษย์ คำร้องขออนุญาตฎีกาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และคำร้องขออนุญาตฎีกาที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของแผนกคดีพิเศษในศาลฎีกา รวมทั้งคำร้องอื่น ๆ ตามที่ประธานศาลฎีกาจะได้กำหนดให้ประธานแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกาเป็นผู้รับผิดชอบงาน โดยมีนายประยูร ณ ระนอง ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกาคนแรก ปัจจุบันมีนายชวลิต อิศรเดช ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกา ทั้งนี้ แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกาได้เริ่มเปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ เป็นต้นมา

ขอบเขตอำนาจพิจารณา

๑. คำร้องขอปล่อยชั่วคราว

  • - คำร้องขอปล่อยชั่วคราวในชั้นฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๐๖
  • - คำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๑๙ ทวิ
  • - คำร้องที่เกี่ยวเนื่องกับการขอปล่อยชั่วคราว

๒. คำร้องที่เกี่ยวกับคดีแพ่งและคดีอาญา

  • - คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา
  • - คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์
  • - คำร้องขอทุเลาการบังคับ
  • - คำร้องขอถอนฟ้อง คำร้องขอถอนคำร้องทุกข์
  • - คำร้องขอถอนฎีกา
  • - คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ คำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ผู้ตาย
  • - คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกา
  • - คำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม
  • - คำร้องขอแก้ไขคำพิพากษาศาลฎีกา
  • - คำร้องขออธิบายคำพิพากษาศาลฎีกา
  • - คำร้องขอให้เพิกถอนการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ

๓. คดีคำร้องขออนุญาตฎีกาคดีค้ามนุษย์

คดีค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ.๒๕๕๙ มาตรา ๓ หมายถึง คดีที่มีข้อหาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ไม่ว่าจะมีข้อหาความผิดอื่นรวมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่ไม่รวมถึงคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบและศาลเยาวชนและครอบครัว

มีผลใช้บังคับกับคดีที่ฟ้องตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙

๔. คดีคำร้องขออนุญาตฎีกาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

คดีทุจริตและประพฤติมิชอบตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.๒๕๕๙ มาตรา ๓ หมายถึง คดีทุจริตและประพฤติมิชอบตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้แก่

  • (๑) คดีอาญาที่ฟ้องให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น หรือความผิดอื่นอันเนื่องมาจากการประพฤติมิชอบ
  • (๒) คดีอาญาที่ฟ้องให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่กระทำความผิดฐานฟอกเงินที่เกี่ยวเนื่องกับความผิด (๑) หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือกฎหมายอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
  • (๓) คดีอาญาที่ฟ้องให้ลงโทษบุคคลใความผิดเกี่ยวกับการเรียก รับ ยอมจะรับหรือให้ ขอให้ รับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือการใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือใช้อิทธิพลเพื่อจูงใจหรือข่มขืนใจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำใดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น
  • (๔) คดีอาญาที่ฟ้องขอให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลตามกฎหมายที่กำหนดให้เป็นคดีทุจริตแลประพฤติมิชอบ
  • (๕) คดีอาญาที่ฟ้องขอให้ลงโทษบุคคลที่ร่วมกระทำความผิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลตาม (๑) ถึง (๔) ไม่ว่าในฐานะตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือผู้สมคบ
  • (๖) คดีเกี่ยวกับการจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ หรือจงใจยื่นบัญชีและเอกสารดังกล่าวด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
  • (๗) คดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะเหตุร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ
  • (๘) กรณีที่มีการขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนยื่นฟ้องหรือยื่นคำร้องขอตาม (๑) ถึง (๗)

แต่ไม่รวมถึงคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัวตามกฎหมายว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว

มีผลใช้บังคับกับคดีที่ฟ้องตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙

๕. คดีคำร้องขออนุญาตฎีกาคดีแพ่งที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของแผนกคดีพิเศษในศาลฎีกา

การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคในคดีแพ่งก่อนพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผลใช้บังคับ เป็นระบบสิทธิโดยมีข้อจำกัดการฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์และประเภทคดี แต่เนื่องจากปริมาณคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีจำนวนมากเป็นอุปสรรคต่อการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาให้เป็นไปโดยความถูกต้องรวดเร็วตามหลักนิติธรรม ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อศาลยุติธรรม จึงมีการแก้ไขบทบัญญัติเรื่องการฎีกาในคดีแพ่งเปลี่ยนเป็นระบบขออนุญาต โดยให้คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคเป็นที่สุด เว้นแต่คดีที่ศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกา ส่วนคดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้บังคับตามกฎหมายซึ่งใช้อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับจนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่หลังจากคดีถึงที่สุดและพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาที่เกิดขึ้นภายหลัง ต้องบังคับตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘

มีผลใช้บังคับกับคดีแพ่งที่ฟ้องตั้งแต่วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

๖. คำร้องอื่น ๆ ตามที่ประธานศาลฎีกาได้กำหนด

- คำร้องขอโอนคดีอาญาซึ่งยื่นต่อประธานศาลฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๖

ประเด็นคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขออนุญาตฎีกา

คดีอาญาภายหลังจากศาลชั้นต้นรับฎีกาแล้ว ก่อนส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ถอนฎีกาได้หรือไม่?

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ดังนี้

       คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.๙๔๑/๒๕๕๖ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องขอถอนฎีกาก่อนศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลฎีกา กรณีเช่นนี้เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งอนุญาตได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐๒ ประกอบมาตรา ๒๒๕ แต่เมื่อศาลชั้นต้นส่งสำนวนและคำร้องมายังศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งคำร้องได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสั่ง อนุญาตให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ถอนฎีกา

       คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.๖๒/๒๕๕๖ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอถอนฎีกาต่อศาลชั้นต้นก่อนส่งสำนวนมาศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งอนุญาตได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐๒ ประกอบมาตรา ๒๒๕ แต่เมื่อศาลชั้นต้นส่งสำนวนและคำร้องขึ้นมาแล้ว การจะส่งคืนให้ศาลชั้นต้นสั่งย่อมทำให้คดีล่าช้าโดยไม่จำเป็น ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งเสียเอง อนุญาตให้จำเลยที่ ๒ ถอนฎีกา

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ดังนี้

        คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ย.๙๑๐/๒๕๕๖ การสั่งคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลาเพื่อยื่นคำขออนุญาตฎีกา หากศาลชั้นต้นไม่เห็นสมควรอนุญาต ศาลชั้นต้นจะต้องส่งคำร้องขอมาให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่งตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำขอ การพิจารณา และมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ฎีกาในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๔ วรรคสาม การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลาเพื่อยื่นคำขออนุญาตฎีกาครั้งที่ ๔ โดยไม่ส่งคำร้องมาให้ศาลฎีกาสั่ง ย่อมเป็นการไม่ชอบ จึงให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นเสีย อย่างไรก็ตาม เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคำร้องขออนุญาตขยายระยะ เวลาเพื่อยื่นคำขออนุญาตฎีกาครั้งที่ ๔ ของจำเลยไปเสียทีเดียว เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาเพื่อยื่นคำขออนุญาตฎีกาครั้งละ ๑ เดือน มาแล้ว ๓ ครั้ง โดยสองครั้งแรกอ้างเหตุทนายจำเลยติดว่าความเป็นจำนวนมาก ส่วนครั้งที่ ๓ อ้างเหตุความเจ็บป่วยของทนายจำเลย ส่วนจำเลยก็ยื่นคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลาเพื่อยื่นคำขออนุญาตฎีกาครั้งละ ๓๐ วัน มาแล้ว ๓ ครั้ง โดยทั้งสามครั้งอ้างเหตุขัดข้องเกี่ยวกับการขอพยานเอกสารยังได้ไม่ครบถ้วน ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตทุกครั้ง โดยครั้งที่ ๓ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาเป็นครั้งสุดท้ายจนถึงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ และได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้วว่าศาลอนุญาตให้เป็นครั้งสุดท้าย การที่ทนายจำเลยเป็นผู้เรียงและพิมพ์คำร้องลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ขอขยายระยะเวลาครั้งที่ ๔ และมายื่นคำร้องด้วยตนเอง แสดงว่าอาการเจ็บป่วยของทนายจำเลยไม่รุนแรงถึงขนาดที่จะไม่สามารถเรียงฎีกาให้แก่จำเลยได้ดังอ้าง ส่วนที่จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ผ่านเรือนจำ ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาครั้งที่ ๔ อ้างเหตุว่าจะจัดหาทนายสำรองไว้ หากทนายคนเดิมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แสดงว่าจำเลยมิได้ขวนขวายที่จะแต่งตั้งบุคคลใดเข้ามาเป็นทนายแทนคนเดิมเพื่อจัดทำคำขออนุญาตฎีกาและฎีกา อันเป็นความบกพร่องของจำเลยเอง กรณีไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาเพื่อยื่นคำขออนุญาตฎีกาครั้งที่ ๔ ให้แก่จำเลยได้

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ดังนี้

        คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ย.๔๗๑/๒๕๕๖ คดีนี้โจทก์ยื่นฎีกาเฉพาะกรณีขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ ๒ ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และได้ยื่นคำร้องขออนุญาตศาลชั้นต้นยื่นฎีกาโดยอัยการสูงสุดมีหนังสือรับรองฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุอันควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย อันเป็นกรณีโจทก์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในการกระทำกรรมอื่นซึ่งมิใช่ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง จึงเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการตรวจพิจารณาสั่งฎีกาของโจทก์ต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๓ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องดังกล่าวพร้อมฎีกาไปยังศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่งตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙ ย่อมเป็นการไม่ชอบ จึงให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการ

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ดังนี้

        คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.๓๗๕/๒๕๕๕ การขอทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๑ ต้องเป็นกรณีที่ยังไม่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาไม่ว่าของศาลใด คดีนี้โจทก์ขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีแล้ว จำเลยที่ ๒ จะยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์หาได้ไม่ แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ ๒ ขอให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๒ (๒) ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่งว่ามีเหตุสมควรให้งดการบังคับคดีไว้หรือไม่ จึงให้ส่งคืนศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาสั่งคำร้องต่อไป

        คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.๑๐๗๑/๒๕๕๕ การขอทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๑ นั้นจะต้องเป็นกรณีที่ยังไม่มีการบังคับตามคำพิพากษา แม้ขณะจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับไว้ยังไม่มีการบังคับคดี ศาลฎีกายังไม่มีคำสั่งในเรื่องดังกล่าว แต่เมื่อระหว่างพิจารณาคดีนี้ปรากฏตามคำร้องของจำเลยทั้งสามฉบับลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ว่าปัจจุบันโจทก์มีการบังคับคดีแล้ว จึงไม่อาจทุเลาการบังคับได้ แต่จำเลยทั้งสามชอบที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นเพื่องดการบังคับคดีต่อไป

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ดังนี้

        คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.๑๓๕๓/๒๕๕๓ คดีนี้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๓ (ที่ถูกต้องทำเป็นอุทธรณ์) อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกา กรณีเช่นนี้จะต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามลำดับชั้นศาล การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จึงให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการส่งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป

        คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ๑๑๑๘/๒๕๔๓ คดีนี้จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยจึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๓ แม้ตามคำร้องจำเลยประสงค์ให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่งและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งไปศาลฎีกาก็ตาม แต่การอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นฎีกา จำเลยต้องอุทธรณ์ฎีกาไปตามลำดับชั้นศาล การที่จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตรงต่อศาลฎีกาเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จึงให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาต่อไป

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง