การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้นฎีกา
Mediation of Supreme Court
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นการระงับคดีอย่างสันติวิธีประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดจากจากความสมัครใจที่แท้จริงของคู่ความ และเป็นกระบวนการที่คู่ความหาทางยุติข้อพิพาทร่วมกัน โดยคู่ความตกลงยินยอมให้บุคคลที่สามซึ่งเรียกกันว่า “ผู้ไกล่เกลี่ย” เข้ามาช่วยเหลือ เสนอแนวทางและหาทางออกให้คู่ความตกลงกันได้ ผู้ไกล่เกลี่ยไม่มีอำนาจบังคับให้คู่ความตกลงกัน เพราะอำนาจในการตัดสินใจอยู่ที่คู่ความ แต่ผู้ไกล่เกลี่ยอาจเสนอแนวทางในการตกลงให้แก่คู่ความได้
การไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทในชั้นฎีกา เป็นกระบวนการที่สำคัญในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน โดยคู่ความต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เพื่อให้คดีความแล้วเสร็จไปจากศาล โดยคู่ความเกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน และรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกัน สามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของทั้งสองฝ่าย

วิวัฒนาการ
ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในศาล
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการพิจารณาคดีในศาลต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณคดีที่จะเข้าสู่การพิจารณาคดีครบองค์คณะตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และปัญหาของระบบการนัดพิจารณาคดีของศาลโดยการเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นประการสำคัญ คือ การลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี และที่สำคัญที่สุดคือ การที่ประชาชนจะได้รับความพึงพอใจจากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ตนเองมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในผลหรือข้อตกลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตามความเป็นจริงแล้วไม่ใช่วิธีการใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในศาลยุติธรรมแต่เป็นวิธีการที่ศาลยุติธรรมนำมาใช้ควบคู่ไปกับการพิจารณาคดีของศาลมาเป็นเวลานานแล้วและเมื่อศาลได้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไป ก็มีการปรับแนวความคิดและปรับเปลี่ยนรูปแบบออกไป เพื่อพัฒนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เกิดประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมกับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
โดยผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดี
ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพิจารณาคดีของศาลตลอดมา โดยมีการกำหนดบทบาทการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้แก่ผู้พิพากษา ดังจะเห็นได้จากกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 ได้ให้อำนาจศาลในการไกล่เกลี่ยให้คู่ความตกลงกันระหว่างที่มีการดำเนินคดีในศาล ซึ่งถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติกฎหมายในส่วนนี้ไปบ้าง แต่ก็ยังคงหลักการเดิมที่ให้อำนาจศาลดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสำหรับคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบนี้ ผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินชี้ขาดคดี จะเป็นผู้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีนั้นด้วยตนเองหรือพร้อมกับองค์คณะผู้พิพากษา และศาลต่าง ๆ มีความคุ้นเคยและใช้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบนี้ควบคู่ไปกับการพิจารณาคดีตลอดมา


การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
โดยผู้พิพากษาที่ไม่ใช่ผู้พิจารณาคดี
ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในศาลรูปแบบนี้ ได้รับการพัฒนามาจากระบบแรกซึ่งมีข้อจำกัดที่สำคัญ กล่าวคือความมั่นใจต่อตัวผู้พิพากษาที่เป็นทั้งผู้ตัดสินชี้ขาดและทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีเดียวกันว่า จะไม่เกิดอคติในการตัดสินชี้ขาด หากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไม่ประสบความสำเร็จความมั่นใจในการเปิดเผยข้อเท็จจริงในระหว่างการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทซึ่งข้อเท็จจริงต่าง ๆ จะไม่ถูกนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี หากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไม่ประสบผลสำเร็จ และสภาพบรรยากาศในห้องพิจารณาที่อาจมีความไม่เหมาะสมกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเปิดโอกาสให้คู่ความมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและการเจรจาพูดคุยอย่างเท่าเทียมกัน การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบนี้ จึงเป็นการแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าวโดยมีการแยกผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออกจากผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีโดยผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทจะไม่ทำหน้าที่ตัดสินชี้ขาดในคดีเดียวกัน การแยกสำนวนไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออกจากสำนวนปกติ เพื่อมิให้ข้อเท็จจริงในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาคดีและจัดห้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างหากจากห้องพิจารณาคดี เพื่อให้บรรยากาศการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมีความเป็นกันเองทั้งระหว่างคู่ความและผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งจะทำให้คู่ความมีโอกาสเปิดเผยข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบนี้ มีการริเริ่มในศาลแพ่งเป็น ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 และมีการแพร่หลายออกไปในศาลแพ่งอื่น ๆ รวมทั้งศาลในภูมิภาคอีกเป็นจำนวนมาก
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
โดยผู้ไกล่เกลี่ยบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้พิพากษา
ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบนี้ มีหลักการที่คล้ายคลึงกับระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้พิพากษาที่ไม่ใช่ผู้พิจารณาคดี คงมีความแตกต่างกันเพียงการใช้ข้าราชการศาลยุติธรรมหรือบุคคลภายนอกทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรือการประนอมข้อพิพาท2 ทั้งนี้ โดยพื้นฐานความคิดที่ว่า ภาระหน้าที่ของผู้พิพากษาตามรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ การนั่งพิจารณาคดีต้องกระทำโดยผู้พิพากษาครบองค์คณะ และบทบาทการคุ้มครองสิทธิประชาชนที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าการออกหมายจับหรือหมายค้น ทำให้จำนวนของผู้พิพากษาไม่เพียงพอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและการพิจารณาคดีที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเกิดความจำเป็นที่ต้องพัฒนาบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้พิพากษามาทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่กฎหมายมิได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้พิพากษาโดยเฉพาะแทนงานที่ผู้พิพากษาเคยปฏิบัติอยู่ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงาน ลดปริมาณคดีที่ต้องมีการพิจารณาสืบพยาน และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาระหน้าที่ที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งในที่นี้รวมถึงงานด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการแต่งตั้งบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้พพิพากษามาเป็น ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้ พื้นฐานความคิดดังกล่าวสามารถเห็นได้จากการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งในหมวดอำนาจหน้าที่ของศาลเมื่อปี พ.ศ. 2542 และการออกระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2544 ซึ่งเปิดโอกาสให้ศาลสามารถแต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้ประนีประนอมมาช่วยทำหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้นอกเหนือไปจากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้พิพากษาหรือองค์คณะผู้พิพากษา

ประเภทคดีที่จะเข้าสู่กระบวนการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้นฎีกา
ประเภทคดีที่สามารถเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้นฎีกาได้แก่ คดีแพ่ง และ คดีอาญาในคดีความผิดต่อส่วนตัว(ความผิดอันยอมความได้) ซึ่งถ้าผลของการไกล่เกลี่ยสามารถตกลงกันได้ก็สามารถขอถอนฟ้องหรือยอมความในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุด และทำให้สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป

ประโยชน์ของการไกล่เกลี่ย
การไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทเป็นกระบวนการหนึ่งในการอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนผู้มีอรรถคดีได้ยุติข้อพิพาทด้วยความพึงพอใจประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นการระงับข้อพิพาทด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันมีส่วนในการรักษาความสัมพันธ์อันดีก่อให้เกิดความสมานฉันท์และยังทำให้คดีเสร็จไปโดยเร็ว

ผลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นฎีกา
- กรณีคู่ความสามารถตกลงกันได้โดยมีสัญญาประนีประนอมยอมความศาลจะพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นหรือโจทก์ถอนฟ้องในคดีอาญาซึ่งมีข้อหาเฉพาะความผิดต่อส่วนตัว (ความผิดอันยอมความได้) ซึ่งผลของการประนีประนอมยอมความ หรือการถอนฟ้องทำให้สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องระงับลง
- กรณีตกลงกันไม่ได้ศูนย์ไกล่เกลี่ยจะส่งสำนวนคืนสู่การดำเนินกระบวนพิจารณาตามปกติของศาลฎีกาต่อไป


การขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้นฎีกา
๑. คู่ความมีความประสงค์ขอให้ศาลดำเนินการไกล่เกลี่ยโดยความสมัครใจ โดยคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ขอเข้าไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยยื่นคำร้องต่อศาลฏีกา หรือศาลชั้นต้น เพื่อขอให้ศาลชั้นต้นหรือศาลฎีกาดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
๒. เมื่อศาลฎีกาได้รับสำนวนจากศาลชั้นต้นพร้อมแสดงความประสงค์ในการไกล่เกลี่ยชั้นฎีกาหรือศาลฎีกาเห็นว่าคดีมีแนวโน้มสามารถตกลงกันได้ และได้ดำเนินการสอบถามหรือเชิญชวนเพื่อให้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นฎีกาต่อไป
- ๑. ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นฎีกาโดยศาลชั้นต้น
- ๒. ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นฎีกาโดยศาลฎีกา
- ๓. ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นฎีกาโดยระบบทางไกลผ่านจอภาพ
แนวปฏิบัติการดำเนินการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นศาลฎีกา
-
ขั้นตอนและการไกล่เกลี่ยนในชั้นฎีกา PDF
-
กระบวนการและขั้นตอนการสอบถามความประสงค์การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นศาลฎีกา PDF
-
ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นศาลฎีกาโดยศาลชั้นต้น PDF
-
กระบวนการและขั้นตอนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นศาลฎีกาโดยศาลฎีกา PDF
-
ขั้นตอนกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นศาลฎีกาโดยระบบทางไกลผ่านจอภาพ (Video /Web Conference) PDF
-
หนังสือแจ้งความประสงค์ไกล่เกลี่ย WORD
-
แบบฟอร์มคำร้องแจ้งความประสงค์ไกล่เกลี่ย WORD