แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

Criminal Division for Persons Holding Political Position

ประวัติการก่อตั้ง

แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็น 1 ใน 12 แผนกคดีชำนัญพิเศษของศาลฎีกา จัดตั้งขึ้นครั้งแรกตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 (ซึ่งถูกยกเลิกแล้ว) และเริ่มทำการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 สถานะของแผนกฯ ในปัจจุบันได้รับการรับรองไว้ในมาตรา 195 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

เจตนารมณ์สำคัญในการจัดตั้งแผนกคดีนี้เกิดขึ้นเนื่องด้วยปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงได้ทวีความรุนแรงขึ้น ในขณะที่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาแบบเดิมไม่สามารถรับมือกับปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นในการจัดตั้งแผนกคดีนี้ขึ้นในศาลฎีกา เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีอยู่ภายใต้อำนาจของผู้พิพากษาศาลฎีกาโดยตรง โดยมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นองค์กรไต่สวนและส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ฟ้องคดี หรือที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจยื่นฟ้องคดีได้เอง

กฎหมายที่ใช้บังคับและระบบการพิจารณาคดี

กระบวนพิจารณาของแผนกฯ อยู่ภายใต้บังคับแห่ง "พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560" เป็นการเฉพาะ ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดไว้โดยเฉพาะ ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม

ทั้งนี้ การพิจารณาคดีใช้ "ระบบไต่สวน" ซึ่งศาลมีบทบาทสำคัญในการแสวงหาความจริง แตกต่างจากคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ "ระบบกล่าวหา"

เขตอำนาจศาล: บุคคลและข้อหา

แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจไต่สวนและพิพากษาบุคคลตามบัญชีรายชื่อต่อไปนี้ ในฐานความผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน

ผู้ถูกกล่าวหา

  • 1. นักการเมือง, ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ, ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
  • 2. กรรมการ ป.ป.ช.
  • 3. บุคคลธรรมดา (ที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน)
  • 4. บุคคลในกลุ่มข้างต้น หรือเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.

ฐานความผิด

  • 1. ทุจริตต่อหน้าที่ หรือประพฤติมิชอบในตำแหน่ง, จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย, ร่ำรวยผิดปกติ
  • 2. ทุจริตต่อหน้าที่ หรือประพฤติมิชอบในตำแหน่ง, จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย, ร่ำรวยผิดปกติ
  • 3. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่
  • 4. จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีอันเป็นเท็จ

องค์คณะผู้พิพากษาและการอุทธรณ์

      องค์คณะในชั้นพิจารณาพิพากษาประกอบด้วยผู้พิพากษาหรือผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา จำนวน 9 ท่าน ซึ่งได้รับคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นรายคดี การวินิจฉัยชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก นอกเหนือจากคำพิพากษากลางขององค์คณะแล้ว ผู้พิพากษาแต่ละท่านต้องจัดทำคำวินิจฉัยส่วนตนเป็นหนังสือ ซึ่งจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะภายหลังการอ่านคำพิพากษากลาง

      คู่ความมีสิทธิ์อุทธรณ์คำพิพากษาต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา องค์คณะในชั้นอุทธรณ์ประกอบด้วยผู้พิพากษาศาลฎีกา จำนวน 9 ท่าน ซึ่งคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยองค์คณะต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยพิจารณาคดีนั้นมาก่อน และต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งในระดับไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา

สรุปกระบวนการพิจารณาคดี

      แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในฐานะศาลชั้นต้น กรณีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ, กระทำการทุจริตต่อหน้าที่, ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือมีพฤติการณ์ทุจริตตามกฎหมายอื่น

      ผู้มีอำนาจฟ้องคดีคืออัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. เท่านั้น เมื่อมีการยื่นฟ้อง ประธานศาลฎีกาจะเรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อคัดเลือกองค์คณะผู้พิพากษา 9 ท่านจากผู้พิพากษาศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโส เพื่อทำหน้าที่พิจารณาคดีเป็นรายคดีไปในระบบไต่สวน

      คำพิพากษาสามารถอุทธรณ์ไปยังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ โดยมีองค์คณะอุทธรณ์ 9 ท่าน ซึ่งต้องไม่เคยพิจารณาคดีนั้นมาก่อนและมีอาวุโสไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยขององค์คณะอุทธรณ์ให้ถือเป็นที่สุด และเป็นคำวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาs