แผนกคดีแรงงาน
Labour Division
ประวัติการก่อตั้ง
คดีแรงงานเป็นคดีที่มีความสำคัญที่ต้องได้รับการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกามีประวัติศาสตร์ยาวนาน ควบคู่กับศาลฎีกามาตั้งแต่ในอดีต แต่เนื่องจากการโยกย้ายสถานที่ตั้ง และการสร้างศาลฎีกาอาคารใหม่ ทำให้เอกสารประวัติศาสตร์เกี่ยวกับแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา ปัจจุบันได้มีการสูญหายไปจำนวนมาก ผู้เขียนจึงได้รวบรวมเอกสารประวัติศาสตร์ดังกล่าว รวมกับการสัมภาษณ์อดีตประธานแผนกคดีแรงงาน ท่านผู้พิพากษา และท่านผู้ช่วยผู้พิพากษาในแผนกคดีแรงงาน เพื่อจัดทำประวัติแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกาขึ้น ทั้งนี้ประวัติศาสตร์แผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา สามารถแยกออกได้เป็นสามยุค ดังนี้
๑. ยุคก่อนมีศาลแรงงาน (ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๒๒)
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐบาลสมัยนั้น ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาแรงงานที่เกิดขึ้น จึงได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยสำนักจัดหางาน พ.ศ. ๒๔๗๕ ขึ้นบังคับใช้เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ๒๔๗๕ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ รัฐบาลได้จัดตั้งกองกรรมกร สังกัดกรมพาณิชย์ กระทรวงเศรษฐการ ซึ่งต่อมาได้โอนไปอยู่กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุขตามลำดับ
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ประเทศไทยต้องติดต่อกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ทำให้มีการจัดตั้งกองกรรมกรขึ้นมาใหม่ และได้ดำเนินการด้านแรงงาน เรื่อยมา จนกระทั่งมีพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. ๒๔๙๙ ซึ่งต่อมาถูกยกเลิกไปในปี ๒๕๐๑ และมีการตราประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ออกมา ซึ่งมีเนื้อหาในการคุ้มครองแรงงาน
ในช่วงแรกก่อนปี ๒๕๐๐ นั้น ไม่ปรากฏว่า มีการแยกคดีแรงงานออกจากคดีแพ่งทั่วไป การตัดสินคดีแรงงานในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา จึงดำเนินการในรูปแบบคดีแพ่ง แต่ภายหลังจากมีการออกพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. ๒๔๙๙ และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานแล้ว ศาลยุติธรรมจึงเห็นว่า คดีแรงงาน มีแนวคิดที่แตกต่างจากคดีแพ่งทั่วไป จึงควรให้มีผู้พิพากษาที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องคดีแรงงานเป็นกรณีพิเศษ ในช่วงปี ๒๕๐๐ จนถึงปี ๒๕๒๒ จึงมีการกำหนดองค์คณะผู้พิพาษาศาลฎีกาในบางคณะให้เป็นองค์คณะที่เน้นพิจารณาคดีแรงงานเป็นกรณีพิเศษ
๒. ยุคตั้งศาลแรงงานและแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา
ในปี ๒๕๒๒ มีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ขึ้น ตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง (เดิม) บัญญัติ ให้ประธานศาลฎีกาจัดตั้งแผนกคดีแรงงานขึ้นในศาลฎีกาเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีแรงงานที่อุทธรณ์มาจากศาลแรงงาน ดังนั้น แผนกคดีแรงงานจึงจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายดังกล่าวนั่นเอง
การพิจารณาคดีของแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา จะเป็นระบบสองชั้นศาล กล่าวคือ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานจะพิจารณาเฉพาะอุทธรณ์ ที่มาจากศาลแรงงานชั้นต้น โดยพิจารณาเฉพาะอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย
เมื่อมีการจัดตั้งแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกาขึ้นแล้ว ในยุคแรกจึงตีความว่า คดีทุกคดีจะต้องผ่านการพิจารณาของที่ประชุมแผนกคดีแรงงาน อย่างไรก็ตามผู้บริหารของแผนกคดีแรงงานในยุคแรกเริ่มจะเป็นตำแหน่งหัวหน้าแผนกคดีแรงงาน และการแบ่งผู้พิพากษาในแผนกคดีแรงงานจะมาจากองค์คณะที่พิจารณาคดีแรงงานแต่เดิมมา
๓. ยุคแผนกคดีแรงงานในปัจจุบัน
ภายหลังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 แยกศาลยุติธรรมออกจากกระทรวงยุติธรรม ได้มีการประกาศใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ตำแหน่งหัวหน้าแผนกคดีแรงงาน จึงได้ปรับเปลี่ยนเป็นประธานแผนกคดีแรงงาน
ต่อมาได้มีการจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๘ การพิจารณาพิพากษาคดีแรงงาน จากระบบสองชั้นศาล จึงเปลี่ยนเป็นระบบสามชั้นศาล โดยการพิจารณาในชั้นฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗/๑
ภารกิจของแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา
๑. การพิจารณาพิพากษาอรรถคดี
การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีจะต้องมุ่งให้เกิดความรวดเร็ว เป็นธรรม และเป็นไปตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ ดังนี้
๑.๑ การพิพากษาคดีให้เกิดความรวดเร็ว
การพิจารณาพิพากษาคดีให้เกิดความรวดเร็วของแผนกคดีแรงงานในปัจจุบันจะพิจารณาคดีคำสั่งคำร้องขออนุญาตฎีกาไม่เกิน ๖ เดือน และคดีคำพิพากษาไม่เกิน ๑ ปี นับแต่สำนวนขึ้นมาสู่ศาลฎีกา เพื่อให้ทันต่อความเดือดร้อนของแรงงาน และนายจ้างในสภาวการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
๑.๒ การพิพากษาคดีให้เกิดความเป็นธรรม
การพิพากษาคดีจะต้องเป็นไปตามหลักกฎหมาย แนวคำพิพากษาฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานมุ่งเน้นวางหลักกฎหมายในคำพิพากษาให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมแรงงาน สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และเหมาะสมกับกิจการแต่ละแห่ง
๑.๓ การพิพากษาคดีให้เป็นไปตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ
ในสังคมแรงงานปัจจุบันซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีกิจการที่มีการจ้างงานหลายรูปแบบ การตีความและวางหลักกฎหมายเพื่อคุ้มครองแรงงาน และคนทำงานของแต่ละกิจการของแผนกคดีแรงงานจะพิจารณาให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายแรงงานที่เป็นสากล
๒. การประสานงานกับศาลแรงงานทั่วประเทศและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานทำเป็นตัวกลางในการประสานความรู้กับศาลแรงงานแรงงานทั่วประเทศ และร่วมกับศาลแรงงานกลางในการประสานความร่วมมือ ดังนี้
๒.๑ อนุ กบศ ด้านแรงงาน และการคัดเลือกผู้พิพากษาสมทบ
ท่านประธานแผนกคดีแรงงานเข้าร่วมประชุมอนุ กบศ ด้านแรงงาน เพื่อร่วมกับศาลแรงงานทั่วประเทศเกี่ยวกับการบริหารจัดการศาลแรงงาน และท่านประธานแผนกคดีแรงงานเป็นที่ปรึกษาในการคัดเลือกท่านผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานกลางและศาลแรงงานภาค
๒.๒ การประสานความรู้กับศาลแรงงาน
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานทำหน้าที่ประสานความรู้และข้อกฎหมายสำคัญแก่ศาลแรงงานทั่วประเทศ ผ่านการประชุมความร่วมมือที่จัดขึ้นโดยศาลแรงงานกลาง เพื่อให้การพิจารณาและพิพากษาของศาลแรงงานชั้นต้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงาน และศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิพากษาวางหลักกฎหมายสำคัญไปในแนวทางเดียวกัน
๓. การเป็นผู้นำเพื่อประสานนโยบาย
แผนกคดีแรงงานจะเป็นผู้รับนโยบายจากท่านประธานศาลฎีกา และประชุม ประสานความร่วมมือไปยังศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงาน ศาลแรงงานกลาง และศาลแรงงานภาค รวมทั้งหน่วยงานทางด้านแรงงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การขอให้มีการไกล่เกลี่ยคดีแรงงานในศาลสูง การจัดตั้งโครงการศาลแรงงานเคลื่อนที่ในสถานการณ์โควิด เป็นต้น
ระเบียบวิธีพิจารณาคดี
คดีภาคเอกชน | คดีรัฐวิสาหกิจ | คดีประกันสังคม |
---|---|---|
๑. คดีผิดสัญญาจ้างแรงงาน ๒. คดีละเมิดตามสัญญาจ้างแรงงาน | ๑. คดีผิดสัญญาจ้างแรงงาน ๒. คดีละเมิดตามสัญญาจ้างแรงงาน พิจารณาตามหลัก กม ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ | ๑. คดีตาม กม เงินทดแทน - คดีฟ้องเรียกสิทธิประโยชน์ตามกม เงินทดแทน |
๓. คดีตาม กม คุ้มครองแรงงาน เช่น การฟ้องเรียกเงินค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยพิเศษแทนการย้ายสถานประกอบการ การคุ้มครองแรงงานหญิง แรงงานเด็ก การควบคุมสวัสดิการในการทำงาน | ๓. คดีตามกม คุ้มครองแรงงาน (ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ) | ๒. คดีตาม กม ประกันสังคม - คดีฟ้องเรียกสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายประกันสังคม - คดีฟ้องเรียกเงินสมทบจากนายจ้าง (ส่วนใหญ่พิจารณาเรื่องค่าจ้างซึ่งเป็นฐานการคำนวณเงิน) - คดีฟ้องเรียกสิทธิประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลกรณีทั่วไป และกรณีฉุกเฉิน |
๔ คดีตาม พรบ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ - คดีเกี่ยวกับสภาพการจ้าง การยื่นข้อเรียกร้อง การนัดหยุดงานปิดงาน - คดีเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรม เช่น นายจ้างกลั่นแกล้งสหภาพแรงงาน - คดีขออนุญาตเลิกจ้างกรรมการลูกจ้าง | ๔. คดีตาม พรบ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ - คดีเกี่ยวกับสภาพการจ้าง การยื่นข้อเรียกร้อง - คดีเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรม เช่น นายจ้างกลั่นแกล้งสหภาพแรงงาน | |
๕. การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตาม พรบ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ | ๕. การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตาม พรบ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ |
กลุ่มคดีอื่น เช่น
- ๑. คดีองค์กรมหาชน
- ๒. คดีองค์กรของรัฐที่ไม่ใช่ราชการหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น ไทยทีบีเอส
- ๓. คดีโรงเรียนเอกชน
- ๔. คดีสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
- ๕. คดีตาม พรบ ผู้รับงานไปทำที่บ้าน
- ๖. การคุ้มครองงานพิเศษตาม พรบ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
- ๖.๑ แรงงานเกษตรกรรม
- ๖.๒ แรงงานประมง
- ๖.๓ แรงงานทางทะเล
- ๖.๔ แรงงานแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเล
- ๖.๕ แรงงานที่ไม่มีเวลาทำงานชัดเจนจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา เช่น ยาม พนักงานการรถไฟ พนักงานการท่าเรือ
- ๖.๖ แรงงานขนส่ง เช่น พนักงานขับรถขนส่ง
- ๗. การควบคุมความปลอดภัยในการทำงาน