หุ้นค่ะ หุ้นค่ะ หนูชื่อหุ้น มากับทุนและก็มากับกำไร ลัลลั้นลา...

บทความโดย
วันที่เผยแพร่
21/04/2563

       อ้อ แอ๋ว แอ้ม เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน เมื่อเรียนจบ อ้อชวนแอ๋ว แอ้ม ร่วมลงทุนซื้อที่ดินมาพัฒนาแล้วขายเอากำไร แอ๋ว แอ้ม ตกลงด้วยและให้เงินอ้อไปคนละ ๑ ล้านบาท อ้อเอาเงินที่ได้กับเงินส่วนตัวของตัวเองอีก ๑ ล้านบาทรวมเป็น ๓ ล้านบาทไปซื้อที่ดินมา ๕ แปลงใส่ชื่ออ้อในโฉนดและซื้อดินมาถมที่ทั้งห้าแปลง จากนั้นนำที่ดินทั้งห้าแปลงไปขาย แต่ขายได้เพียง ๔ แปลง ยังเหลือที่ดินอีก ๑ แปลง ได้เงินมา ๖ ล้านบาท แอ๋วกับแอ้มเห็นว่าได้เงินมาเยอะแล้วเลยขอแบ่งคนละ ๒ ล้านบาท นอนตีพุงได้กำไรคนละล้าน สบายยยย.. ถ้าอ้อใจดีแบ่งให้เลย ศาลก็คงไม่ต้องทำงาน แต่อ๊ะๆ ปกติเพื่อนรักมักจะหักเหลี่ยมโหด อ้อไม่แบ่งให้ จะทำไม บอกลงแรงไปตั้งเยอะตอนไปหาซื้อที่ดินแล้วยังค่าดินถมที่ยังไม่ได้คิด แถมที่ดินที่เหลืออีกแปลงก็อยู่ในแนวเขตปักเสาไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตท่าทางจะขายไม่ออก มาช่วยๆ กันรับความเสียหายหน่อย แอ๋ว แอ้ม ไม่ยอม เรื่องก็เลยมาถึงศาล คิดกันง่ายๆ แอ๋ว แอ้ม ควรได้เงินคนละ ๒ ล้าน แบ่งจากรายได้ ๖ ล้าน ของเงินที่ขายที่ดินได้ เรื่องไม่เห็นจะยาก  

       แต่อ๊ะๆ  กฎหมายไม่ง่ายอย่างที่คิดนะจ๊ะนายจ๋า เรื่องที่อ้อ แอ๋ว แอ้ม ตกลงกันเนี้ย เค้าเรียกว่าสัญญาหุ้นส่วนจ้ะ ไม่ใช่สัญญาร่วมลงทุนอย่างที่เราๆ เรียกกันง่ายๆ น้า และก็มีความสลับซับซ้อนพอสมควรด้วย เริ่มจากเงินที่อ้อ แอ๋ว แอ้ม จ่ายไปคนละ ๑ ล้านบาท ถือเป็นเงินลงทุนหรือหุ้น เมื่อกิจการที่ร่วมตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันคือการพัฒนาและขายที่ดินมีรายได้เข้ามา ๖ ล้านบาท อ๊ะๆ เงินตัวนี้ไม่ใช่.. ไม่ใช่.. กำไรนะจ๊ะ เค้าเรียกว่า “รายได้” จ้า เพราะอย่าลืมว่ากิจการมีค่าใช้จ่ายที่เห็นชัดๆ ก็ค่าดินถมที่นะจ๊ะ แล้วก็อาจมีค่าใช้จ่ายอื่นอีก เช่น ค่าจ้างถมที่ ค่าจดทะเบียนโอนที่ดินตอนที่อ้อไปซื้อมา ซึ่งเงินพวกนี้ต้องเอาไปลบออกจากเงิน ๖ ล้านบาท ก่อนจ้า ไม่ใช่จะได้กันเต็มเม็ดเต็มหน่วย ๖ ล้านนะ และหุ้นส่วนก็ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่อีกนะคือที่ดินอีก ๑ แปลง อย่างนี้แอ๋ว แอ้ม ฟ้องเรียกเงินจากอ้อคนละ ๒ ล้านไม่ได้นะค้า

       อ้าววววว แล้วแอ๋ว แอ้ม ทำไงดีล่ะ ก็ถ้าแอ๋ว แอ้ม ฟ้องเรียกเงิน ๒ ล้านมา ศาลก็จะยกฟ้องนะ เพราะเงินที่แอ๋ว แอ้ม เรียกมาเป็นรายได้ของห้างหุ้นส่วนซึ่งแอ๋ว แอ้ม เอาไปไม่ได้นะจ๊ะ อย่าเพิ่งงอนหรือโกรธศาลนะ มีทางแก้อยู่จ้า แอ๋ว แอ้ม ต้องเลิกสัญญาหุ้นส่วนกับอ้อมก่อน แล้วฟ้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อสรุปรายได้ รายจ่าย รวมทั้งตีมูลค่าทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนระหว่างอ้อ แอ๋ว แอ้ม เงินเหลือเท่าใดค่อยเอามาคืนทุน ๑ ล้านบาทให้แอ๋ว แอ้ม ถ้ายังมีเงินเหลืออีกถึงจะเฉลี่ยกำไรแบ่งกันสามคนน้า ซึ่งปกติศาลก็จะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ชำระบัญชีให้เพราะเห็นว่าเป็นคนกลางจะได้ไม่ระแวงกันว่าจะเข้าข้างใครนะจ๊ะ อันว่ากระบวนการเหล่านี้ก็ใช้เวลาพอสมควรนะ กว่าแอ๋ว กับแอ้มจะได้เงินคืนก็ต้องก่ายหน้าผากกันละ อ้อ...แล้วจำเพิ่มกันได้เลยจ้ะว่าหลักนี้ใช้กับการฟ้องเรียกเงินกำไร (กำไรจริงๆ ที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว) เงินที่หุ้นส่วนคนหนึ่งออกทดรองเป็นค่าใช้จ่ายไปก่อนจะเลิกห้างหุ้นส่วนหรือเงินอื่นๆ ด้วยนะจ๊ะ ท่องไว้เลยว่าถ้ายังไม่เลิกห้างหุ้นส่วนแล้วชำระบัญชีกัน ขอเงินคืนกันไม่ได้นะจ๊ะ เรียกว่ารักแล้วรักเลยยยย ห้ามทิ้งกันก่อนห้างเลิก

       เห็นไหมว่าน้องหุ้น น้องทุน น้องผลกำไร ถึงจะมาด้วยกันแต่ไม่ได้ง่ายๆ ลัลลั้นลา อย่างที่คิด ใครชวนร่วมลงทุนอะไร คิดกันดีๆ นะจ๊ะ ด้วยความห่วงใยจากศาลจ้า

       (ข้อกฎหมายหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๑๒, ๑๐๖๑, ๑๐๖๒ และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๐๓/๒๕๕๗) 

 

 

ภาพประกอบจาก City photo created by jcomp - www.freepik.com

 


เผยแพร่โดย

แผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจ

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่