ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง ตอน ๒

วันที่เผยแพร่
23/02/2565

ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง ตอนที่ ๒

                                            “คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

          สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๗ และ มาตรา ๙๘  ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐  และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒ หากได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ถ้าขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๙๗ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘ ก็มีผลต่อสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น 

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ 

มาตรา ๙๗ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

          (๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

          (๒) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง

          (๓) เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลาเก้าสิบวันดังกล่าวให้ลดลงเหลือสามสิบวัน

          (๔) ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย

               (ก) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่

น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง

               (ข) เป็นบุคคลซึ่งเกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง 

               (ค) เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่

น้อยกว่าห้าปีการศึกษา

               (ง) เคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ หรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียน

บ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปี

มาตร  ๙๘ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

          (๑) ติดยาเสพติดให้โทษ

          (๒) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

          (๓) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ

          (๔) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา ๙๖ (๑) (๒) หรือ (๔)

          (๕) อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

          (๖) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล

          (๗) เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

          (๘) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ

          (๙) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

          (๑๐) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิด ฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน

          (๑๑) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง

          (๑๒) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง

          (๑๓) เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น

          (๑๔) เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงยังไม่เกินสองปี

          (๑๕) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือ เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ

          (๑๖) เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ

          (๑๗) อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

          (๑๘) เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม

แนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๔๒/๒๕๖๒ ที่ผู้คัดค้านอ้างว่า รัฐธรรมนูญหลายฉบับก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้บังคับให้ผู้สมัครหรือ สส. ต้องสังกัดพรรคการเมืองก็สามารถทำหน้าที่ผู้แทนปวงชนชาวไทยได้เช่นเดียวกับผู้ที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๔๕ มาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๘ กำหนดกลไกในการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองไว้เพื่อให้ประเทศมีความสงบสุขบนพื้นฐานของความรู้รักสามัคคี ปรองดอง ร่วมมือร่วมใจกันโดยให้บุคคลมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่กฎหมายบัญญัติให้การดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองเป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้เพื่อให้พรรคการเมืองพัฒนาเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน มีกระบวนการให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบอย่างแท้จริงในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและการคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมจริยธรรมเข้ามาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ดังนั้น การสังกัดพรรคการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่จะเข้ามาร่วมกันทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนโดยรวมมิใช่มุ่งหาประโยชน์แก่ตนเองหรือกลุ่มของตนแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจำเป็นต้องกำหนดเป็นมาตรการบังคับเพื่อให้พรรคการเมืองได้รับการพัฒนาเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกันอย่างแท้จริงจะได้บรรลุเป้าหมายของการปฏิรูปประเทศตามแนวทางที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๑๔/๒๕๖๒ การที่ผู้ร้องมีชื่อในทะเบียนบ้านกลางของสำนักทะเบียนอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ทะเบียนบ้านกลางดังกล่าวไม่อาจนำไปอ้างใช้สิทธิการมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดลพบุรีที่ใช้สมัครรับเลือกตั้งด้วยแม้ผู้ร้องมิได้อ้างการมีคุณสมบัติเป็นบุคคลซึ่งเกิดในจังหวัดที่รับเลือกตั้งมาแต่แรก แต่ผู้ร้องได้ยื่นหนังสือรับรองการเกิดว่าเกิดในจังหวัดลพบุรี ซึ่งผู้คัดค้านยอมรับว่ามีการยื่นจริง หนังสือรับรองการเกิดระบุชื่อ ชื่อสกุล วันเกิด และสถานที่เกิด ผู้คัดค้านจึงสามารถรับฟังเป็นหลักฐานประกอบการรับสมัครได้ ที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศรายชื่อผู้ร้องจึงไม่ชอบ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๓๔/๒๕๖๒ ผู้ร้องถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและมีคำพิพากษาให้ผู้ร้องตกเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ แม้จะยังมิได้ประกาศคำสั่งในราชกิจจานุเบกษาก็ตาม แต่ต้องถือว่าผู้ร้องเป็นบุคคลล้มละลายตามบทบัญญัติ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๔๒ (๒) และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๙๘ (๒) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๗๙/๒๕๖๒ ผู้ร้องเคยถูกลงโทษทางวินัยข้าราชการครูให้ปลดออกจากราชการกรณีกระทำการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการครู แม้ในเวลาต่อมาจะได้รับการล้างมลทินตาม พรบ.ล้างมลทินฯ พ.ศ. ๒๕๕๐ ก็มีความหมายเพียงว่าผู้ร้องไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยให้ปลดออกจากราชการครูเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าความประพฤติหรือการกระทำของผู้ร้องที่เป็นเหตุให้ถูกลงโทษทางวินัย ถูกลบล้างไปด้วย ผู้ร้องจึงมีลักษณะต้องห้ามไม่ให้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

 

                                                                                                                         แผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา

                                                                                                                               กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


เผยแพร่โดย

แผนกคดีเลือกตั้ง

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
ตัวการในคดีความผิดเกี่ยวกับป่าไม้

ปกิณกะกฎหมายแรงงาน Right to Freedom of Association

การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่
กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่