นัดฟังคำพิพากษาคดี อม.4/2567

portfolio
24 กรกฎาคม 2568
เข้าดู 69 ครั้ง

วันนี้ เวลา ๑๐ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่าน คำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.๔/๒๕๖๗ หมายเลขแดงที่ อม.๒๙/๒๕๖๘ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นายวิฑูรย์ นามบุตร ที่ ๑ นายกิตติศักดิ์ มุธุสิทธิ์ ที่ ๒ นางอาทิตยา แสวงสายหรือศรีสะอาด ที่ ๓ นายธีระวัฒน์ ศรีสะอาด ที่ ๔ นางพิกุล นามบุตรหรือแสวงสาย ที่ ๕ จำเลย

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เรียก เงินจากผู้เสียหาย ๓๐ ล้านบาท เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยที่ ๑ ในสถานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ จะมีโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของหน่วยงานของรัฐมาลงที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ ทางภาคใต้ และจำเลยที่ ๑ มีโควตาของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย กระทรวงมหาดไทย และห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ ๑ ได้รับงานก่อสร้างใน โครงการดังกล่าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก โดยจำเลยที่ ๑ จะ แบ่งงานโครงการก่อสร้างและให้ผู้เสียหายร่วมดำเนินการในโครงการก่อสร้างดังกล่าวที่จำเลยที่ ๑ ได้รับ โควตา เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมีจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นผู้สนับสนุนการ กระทำความผิดของจำเลยที่ ๑ โดยเป็นผู้รับเงินจากผู้เสียหายแทนจำเลยที่ ๑ อันเป็นการกระทำการใด ๆ โดยทุจริตในลักษณะใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖, ๑๔๙ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า สำหรับความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เรียก เงินจากผู้เสียหายเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ของตน การกระทำของจำเลย ที่ ๑ ไม่ครบองค์ประกอบความผิดของมาตราดังกล่าว จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณและเรื่องสำคัญต่าง ๆ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบโครงการ แผนงาน และงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานรัฐขอรับจัดสรร รวมทั้งพิจารณาแปรญัตติเพื่อปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายที่แต่ละหน่วยงานเสนอขอความเห็นชอบได้ การที่จำเลยที่ ๑ อาศัยโอกาสจากการที่ตนมีอำนาจหน้าที่ไปเรียกรับเงินแล้วเสนอผลตอบแทนให้แก่ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่๑ หลายครั้ง จึงเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อันส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของจำเลยที่๑ โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นการกระทำโดยทุจริตแล้ว การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา๑๒๗๑ส่วนความผิดของจำเลยที่ ๒ ถึงที่๕ นั้น สำหรับความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๔๙ ประกอบมาตรา๘๖ เมื่อจำเลยที่๑ ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๔๙ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่๑ ในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย ส่วนความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา๑๒๓/๑ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๘๖ องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า ทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริง ว่าการใช้บัญชีเงินฝากรับเงินจากผู้เสียหายแทนจำเลยที่๑ ในแต่ละครั้งนั้น จำเลยที่๒ถึงที่๕ มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่๑ ที่เรียกรับเงินจากผู้เสียหายมากน้อยเพียงใด อีกทั้งผู้เสียหายจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่๑ ตามวิธีการที่จำเลยที่ ๑ แจ้ง โดยไม่เคยติดต่อกับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เลย นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่๒ ถึงที่๕ ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการรับเงินของผู้เสียหายแทนจำเลยที่ ๑ อันจะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่๒ ถึงที่ ๕ มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยที่๑ ด้วย พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่๒ ถึงที่ ๕ ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ ๑ กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา๑๒๓/๑ องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากให้ลงโทษจำคุก๓ ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ถึงที่๕.