คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน (คดีบ้านเอื้ออาทร ชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์)

portfolio
4 มีนาคม 2565
เข้าดู 154 ครั้ง

วันนี้ เวลา ๑๔ นาฬิกา องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ได้อ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่โจทก์และนายวัฒนา เมืองสุข จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ตามคดีหมายเลขดำที่ อม.อธ. ๑/๒๕๖๔ และ อม.อธ. ๑/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ. ๒-๓/๒๕๖๕ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นายวัฒนา เมืองสุข จำเลยที่ ๑ กับพวกรวม ๑๔ คน 

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า คณะกรรมการ คตส. แต่งตั้งนาย ก. เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ ๔ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๙ นาย ก. จึงมีอำนาจรวบรวมพยานหลักฐานตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป รวมถึงอำนาจในการสอบปากคำพยานบางปากตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ด้วย การไต่สวนพยานของนาย ก.จึงเป็นการไต่สวนที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และปรากฎข้อเท็จจริงว่าก่อนมีการฟ้องคดีคณะกรรมการ ป.ป.ช. และอัยการสูงสุดได้แต่งตั้งผู้แทนเป็นคณะทำงาน เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์โดยมีการประชุมเพื่อพิจารณาร่วมกัน ซึ่งการประชุมครั้งสุดท้ายคณะทำงานผู้แทนฝ่ายคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะผู้แทนฝ่ายอัยการสูงสุดพิจารณาพยานหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์จนไม่มีข้อโต้แย้งกัน และได้ข้อยุติทุกข้อแล้วก่อนมีการส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดฟ้องเป็นคดีนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ประเด็นเรื่องการเป็นเจ้าพนักงานตามฟ้องของจำเลยที่ ๑ นั้น เห็นว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประกอบกับพระราชบัญญัติการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๕ บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา ๒๘ ยังบัญญัติด้วยว่า ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของ กคช. จำเลยที่ ๑ จึงเป็นบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ และเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไป จำเลยที่ ๑ ย่อมมีอำนาจหน้าที่ในการออกนโยบาย กำหนดแนวทางในการจัดซื้อจัดจ้าง หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการยื่นข้อเสนอเพื่อจัดทำโครงการ รวมทั้งการกำหนดแนวทางในการยกเลิกประกาศการเคหะแห่งชาติฉบับเดิมและออกประกาศการเคหะแห่งชาติฉบับใหม่ หรือสั่งให้การเคหะแห่งชาติปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ซึ่งกิจการของการเคหะแห่งชาติ จำเลยที่ ๑ จึงเป็นเจ้าพนักงานตามฟ้อง หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ใช้อำนาจโดยมิชอบดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ ๑ ย่อมครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘ (เดิม) แล้ว 

ประเด็นจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่นหรือไม่ นั้น เห็นว่า ขณะที่มีการไต่สวนโครงการบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ ๔ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังไม่มีบทบัญญัติการกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดี จึงเป็นอำนาจของ คตส. ที่จะกันบุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาเป็นพยานได้ เมื่อการสอบถ้อยคำพยานเป็นประโยชน์ต่อการไต่สวน เมื่อมิได้มีการจูงใจให้พยานต้องให้การผิดไปจากมูลความจริง และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าคณะอนุกรรมการไต่สวนได้กำหนดเนื้อหาที่พยานต้องให้การไว้เป็นการล่วงหน้า หรือมีการชี้นำพยานว่าต้องให้การยืนยันไปในทางใด โดยพยานมีอิสระที่จะให้การไปตามความรู้เห็นของตน จึงมิได้เป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจหรือมีคำมั่นสัญญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖ และรับฟังเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงได้ ขณะจำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี มีการจัดทำหนังสือนำส่งเอกสารประกอบการประชุมคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติโดยระบุชื่อ จำเลยที่ ๔ ในฐานะที่ปรึกษาจำเลยที่ ๑ หลายครั้ง จำเลยที่ ๕ อ้างว่าจำเลยที่ ๔ เป็นทีมงานที่ปรึกษาของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ แจ้งนางอาภรณ์พนักงานการเคหะแห่งซึ่งเป็นทีมเลขานุการของผู้ว่าการเคหะแห่งชาติว่า จำเลยที่ ๔ เป็นที่ปรึกษาของจำเลยที่ ๑ พฤติการณ์เชื่อได้ว่าจำเลยที่ ๔ เป็นที่ปรึกษาของจำเลยที่ ๑ อย่างไม่เป็นทางการ จำเลยที่ ๑ เข้าร่วมประชุมมอบนโนบายให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์พิจารณาโครงการบ้านเอื้ออาทรใหม่ และจำเลยที่ ๑ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุมัติให้ผู้ประกอบการดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทร  แม้ผู้ประกอบการบางรายได้รับอนุมัติหน่วยก่อสร้างไปแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการบ้านเอื้ออาทรโดยผู้ประกอบการต้องวางหลักประกันมูลค่าร้อยละ ๕ และได้รับเงินล่วงหน้าจากการเคหะแห่งชาติ ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งการเกี่ยวกับการจ่ายเงินล่วงหน้าให้กับผู้ประกอบการ  เมื่อจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๔ แสดงออกว่าเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ ประกอบกับมีการเรียกเงินจำนวนมากจากผู้ประกอบการหลายรายเกี่ยวพันกับโครงการบ้านเอื้ออาทรซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของจำเลยที่ ๑ แล้ว ลำพังจำเลยที่ ๔ ย่อมไม่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเองได้ การกระทำของจำเลยที่ ๑ กับพวกจึงมีลักษณะเป็นขบวนการ    เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ รู้เห็นถึงการกระทำของจำเลยที่ ๔ ด้วย ฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมข่มขืนใจหรือจูงใจแก่ผู้ประกอบการให้นำเงินมอบให้เพื่อตอบแทนที่การเคหะแห่งชาติอนุมัติให้เข้าทำสัญญาตามฟ้อง การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ประเด็นการริบทรัพย์สินนั้น เห็นว่า เมื่อเงินที่จำเลยที่ ๑ กับพวกได้มาเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘ ซึ่งขณะนั้นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔๒ และ ๔๓ ยังไม่มีผลใช้บังคับ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการริบทรัพย์สิน จึงต้องนำประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแทน แม้โจทก์ไม่ได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ (๒) แต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้ริบเงินแล้ว ศาลจึงมีอำนาจริบเงินได้ ทั้งต้องปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องและเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี อันมีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วย สำหรับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔๔ เป็นมาตรการเพื่อการบังคับให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ศาลสั่งริบ จึงนำมาใช้บังคับให้จำเลยที่ ๑ ส่งเงินที่ริบโดยชำระเป็นเงินแทนตามมูลค่าของเงินที่ศาลสั่งริบพร้อมด้วยดอกเบี้ยได้

ประเด็นการริบเงิน ๘๙ ล้านบาท ตามอุทธรณ์โจทก์นั้น เห็นว่า การจ่ายเงินจำนวน ๘๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๗ เป็นการจ่ายเงินเพื่อตอบแทนข้อตกลงในการผลักดันโครงการบ้านเอื้ออาทรของบริษัท ช. โครงการอื่นนอกจากโครงการบ้านเอื้ออาทร ส. เงินจำนวน ๘๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นเงินที่สัมพันธ์กับเงินสินบนที่ใช้ในการอำนวยความสะดวกให้กับโครงการบ้านเอื้ออาทรอื่นของบริษัท ช. เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดที่ศาลมีอำนาจริบได้ 

พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔๒, ๔๓ แต่ให้ปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ (๒) ริบเงิน ๘๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ด้วย โดยให้จำเลยผู้มีหน้าที่ต้องส่งเงิน ๘๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่ริบชำระเป็นเงินแทนตามมูลค่าของเงินที่ศาลสั่งริบภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้ หากจำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ถึงที่ ๘ และที่ ๑๐ ไม่ชำระเงินภายในระยะเวลากำหนด ต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ  ๗.๕  ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓  เป็นต้นไปจนถึงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ และอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไปกว่าจะชำระเสร็จ  แต่อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ หากกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้น ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ โดยให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ถึงที่ ๘ ร่วมกันชำระเงินแทนตามมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกคนละ ๘๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกำหนดไว้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง