วันนี้ (วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๕) เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ๑๐/๒๕๖๔ ระหว่าง คณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์ นายจารุพงศ์ เรื่องสุวรรณ จำเลย โดยจำเลยไม่มาฟังคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับรายงานสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่อาคารลิปตพัลลภฮอลล์สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดนครราชสีมา แต่จำเลยไม่ได้มีข้อสั่งการอย่างไร จำเลยกลับเดินทางไปกล่าวปราศรัยยอมรับข้อเสนอที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สรุปให้ฟัง เป็นเหตุให้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางเข้ามาชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปิดล้อมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีการนำป้ายผ้าไวนิลที่ปรากฏข้อความในลักษณะแบ่งแยกประเทศไปติดตามท้องที่ต่างๆ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ มาตรา ๑๑๖ (๒) (๓) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒ ประกอบมาตรา ๓๐ และ ๑๙๒
จำเลยไม่มาศาลและศาลได้ออกหมายจับจำเลยแล้ว แต่ไม่สามารถจับได้ จึงพิจารณาคดีโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย และถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓๐ ทางปฏิบัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ใช้อำนาจเข้าไปสั่งการในเรื่องที่เกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการกำกับดูแลและสั่งการให้พนักงานฝ่ายปกครองดำเนินการให้มีผลสอดคล้องกับนโยบายหรือแนวทางที่จำเลยกำหนดในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่การที่จะถือว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นความผิดจะต้องเป็นกรณีที่มีหน้าที่ที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นโดยตรง ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาและข้อเท็จจริงแต่ละกรณี ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่าพนักงานปกครองจัดทำบันทึกรายงานสถานการณ์ข่าวการชุมนุมเสนอจำเลย แต่ขณะนั้นยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดบ่งชี้ว่าจะมิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ทั้งเป็นการนัดชุมนุมภายในอาคารเพียงชั่วคราว นายธงชัยและนายชยาวุธเสนอเพียงว่าให้ติดตามความเคลื่อนไหวและดูแลความสงบเรียบร้อย เมื่อระยะเวลาตั้งแต่มีการรายงานข่าวจนถึงวันชุมนุมเป็นเวลา เพียง ๒ วัน ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับทราบบันทึกรายงานข่าววิทยุด้วยตนเองหรือไม่ เมื่อใด ประกอบกับ กระทรวงมหาดไทยถูกปิดล้อมตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นเวลาประมาณ ๖ เดือน กรณีไม่แน่ว่าในช่วง เกิดเหตุจำเลยจะมีข้อมูลครบถ้วนและมีเวลาเพียงพอที่จะใช้ดุลพินิจในการพิจารณาสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างรอบคอบเพียงใด นอกจากนี้จำเลยมีข้อสั่งการในที่ประชุมกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ไว้แล้ว นายธงชัยและนายชยาวุธมิได้มีข้อเสนอใดเพื่อให้จำเลยมีข้อสั่งการอีกพนักงานฝ่ายปกครองและเจ้าพนักงานตำรวจได้ดูแลสถานการณ์การชุมนุมตามหน้าที่อยู่แล้ว นายวิบูลย์เน้นย้ำให้ทางจังหวัดรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงอันเป็นการสั่งการตามหน้าที่ของปลัดกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๑๖) และ (๑๗) (ก) จำเลยจึงหาจำต้องมีข้อสั่งการในเรื่องเดียวกันซ้ำอีก กลุ่ม นปช. ได้แสดงออกซึ่งการไม่ยอมรับการกระทำของฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลแล้วก็ได้ยุติการชุมนุมเอง ไม่มีพยานโจทก์ปากใดยืนยันว่าจำเลยควรจะต้องมีข้อสั่งการอย่างใดจึงจะถือได้ว่าเป็นการบริหารจัดการที่มีขอบเขตและกำหนดระยะเวลาเหมาะสมไม่เกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนข้อที่จำเลยกล่าวปราศรัยยอมรับข้อเสนอของกลุ่ม นปช. นั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับทราบเนื้อหาคำปราศรัยในลักษณะให้มีการแบ่งแยกประเทศของแกนนำคนอื่น ส่วนข้อเสนอข้ออื่นก็มิได้มีการกำหนดวันเวลาและสถานที่ที่จะเคลื่อนไหวให้เป็นที่แน่นอน โดยให้ผู้ชุมนุมรอการ แถลงข่าวก่อน จึงมีลักษณะเป็นการเสนอวิธีการสำหรับเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งยังไม่ทราบได้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ กรณีหาใช่เป็นเหตุอันกำลังจะเกิดขึ้นจริงที่จำเลยจะต้องเร่งสั่งการเจ้าพนักงานก็มิได้มีผู้ใดถือเอาคำปราศรัยของจำเลยมาเป็นข้อสั่งการในการปฏิบัติราชการประกอบกับข้อเสนอแต่ละข้อหาใช่เรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกทั้งการที่จะให้จำเลยสั่งการเพื่อให้เร่งชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนนั้นมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากขณะนั้นเกิดปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยก ส่วนการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจำเลยก็มิได้มีข้อสั่งการใดเช่นกัน กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันพึงคาดหมายได้จากจำเลยในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในภาวะเช่นนั้น ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหานี้
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ (๒) (๓) องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ มิได้บัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไต่สวนข้อเท็จจริงข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โดยมาตรา ๒๘ ประกอบมาตรา ๓๐ เพิ่งบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงข้อหาความผิดที่เกี่ยวข้องกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งคดีนี้คือข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ แต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ ก็ กำหนดเงื่อนไขไว้ในมาตรา ๕๕ (๒) ว่า ห้ามมิให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับหรือยกเรื่องที่มีการดำเนินการต่อผู้ถูกร้องหรือผู้ถูกกล่าวหาตามกฎหมายอื่นเสร็จสิ้นและเป็นไปโดยชอบแล้ว และไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าการดำเนินการนั้นไม่เที่ยงธรรม เว้นแต่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้งและคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าเป็นกรณีที่เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เมื่อได้ความว่าได้มีผู้กล่าวโทษจำเลยจากการกระทำตามฟ้องโจทก์ว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๓, ๑๑๔, ๑๑๖ และ ๑๑๙ และพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจำเลย ซึ่งคำสั่งของพนักงานอัยการเป็นคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด มีผลเท่ากับว่าได้มีการดำเนินการต่อจำเลยในการกระทำความผิดข้อหานี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันเป็นกฎหมายอื่นเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าการดำเนินการของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเป็นไปโดยไม่ชอบหรือมีกรณีต้องด้วยข้อยกเว้นของมาตรา ๕๕ (๒) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ย่อมไม่มีอำนาจรับหรือยกเรื่องเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ (๒) (๓) ขึ้นไต่สวนอีกโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องข้อหานี้
พิพากษายกฟ้อง