คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน (คดีรถเรือดับเพลิง 1 ชั้นยกขึ้นพิจารณาใหม่)

portfolio
20 กันยายน 2565
เข้าดู 163 ครั้ง

          วันนี้ เวลา ๑๑.๓๐ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.๕/๒๕๕๔ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๗/๒๕๕๖ ระหว่าง คณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์ นายโภคิน พลกุล กับพวกรวม ๖ คน จำเลย (ชั้นยกคดีสำหรับบริษัทเดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอย เอจี แอนด์ โค เคจี หรือบริษัทจีดี ยูโรเปียน แลนด์ซิสเต็ม – สไตเออร์ จำเลยที ่ ๕ ขึ้นพิจารณา) 

          คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ ๓ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พาณิชย์ จำเลยที่ ๔ เป็นผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๕ เป็น นิติบุคคลต่างประเทศ และเป็นคู่สัญญาผู้ขายรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ให้กรุงเทพมหานคร ส่วนจำเลยที่ ๖ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๖ กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๕ ให้มีการจัดซื้อสินค้าด้วยวิธีการที่ผิด กฎหมายและขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี โดยอ้างข้อตกลงของความเข้าใจ (AGREEMENT OF UNDERSTANDING หรือ A.O.U.) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย เป็นเหตุให้มีการจัดซื้อในราคาที่สูงเกิน กว่าความเป็นจริง จำเลยที่ ๕ ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาครั้งแรก ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๕ ออกจากสารบบความ และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ กับยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๖ 

          ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีสำหรับจำเลยที่ ๕ ขึ้นพิจารณา ศาลอนุญาต จำเลยที่ ๕ ไม่มาศาล จึงพิจารณาคดีโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลยที่ 5 ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๘ และจำเลยที่ ๕ ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาครั้งแรก ถือว่าจำเลยที่ ๕ ให้การปฏิเสธ ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๓๓ วรรคสาม ปัญหาแรกว่า การดำเนินโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงรวมทั้งอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ตามฟ้อง เป็นการดำเนินการในลักษณะรัฐต่อรัฐและยอมรับพันธะการค้าต่างตอบแทนในสัดส่วนร้อยละ ๑๐๐ จริงหรือไม่ เห็นว่า โครงการจัดซื้อจัดทำขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับใบเสนอราคาของจำเลยที่ ๕ ลำพัง A.O.U. เป็นเรื่องที่คู่กรณีมีความคาดหวังจะมีการปฏิบัติตามความเข้าใจร่วมกันนั้นต่อไปโดยยังมิได้มีผลผูกพันเป็น โดยงานประชาสัมพันธ์ แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉบับที่ ๑๐ วันศุกร์ที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๕ สัญญา ส่วนข้อตกลงซื้อขายเป็นเพียงการซื้อขายระหว่างกรุงเทพมหานครกับจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน ดังนั้น A.O.U. และข้อตกลงซื้อขายไม่ใช่หลักฐานแสดงว่ารัฐบาลของสาธารณรัฐออสเตรียยอมเข้าผูกพันเป็น คู่สัญญา เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทยและทูตพาณิชย์สาธารณรัฐออสเตรีย เพียงทำหน้าที่ช่วยประสานงานและจัดให้มีการเจรจาทำสัญญาซื้อขายกันเอง A.O.U. กำหนดขึ้นเพื่อจะ ผูกมัดการขายสินค้า รัฐบาลสาธารณรัฐออสเตรียมิได้ให้ความช่วยเหลือรัฐบาลไทยในส่วนของเงินทุนตามที่มี การกล่าวอ้าง ส่วนข้อเสนอที่มีการอ้างว่าสาธารณรัฐออสเตรียจะรับพันธะการค้าต่างตอบแทนในสัดส่วน ร้อยละ ๑๐๐ เป็นเพียงการซื้อบิล (ใบกำกับสินค้า) ที่บริษัทผู้มีชื่อส่งออกตามปกติอยู่แล้วมาตัดยอดตาม สัญญา เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับหลักการของการค้าต่างตอบแทนที่แท้จริง จำเลยที่ ๕ เพียงแต่เสีย ค่าธรรมเนียมบริการเป็นค่าจ้างให้แก่บริษัทผู้มีชื่อ ฟังได้ว่า การดำเนินโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงรวมทั้ง อุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยตามฟ้อง ไม่ใช่เป็นการดำเนินการในลักษณะรัฐต่อรัฐที่สาธารณรัฐออสเตรีย ให้ความช่วยเหลือจัดหาแหล่งเงินทุนให้และยอมรับพันธะการค้าต่างตอบแทนในสัดส่วนร้อยละ ๑๐๐ ปัญหาว่า จำเลยที่ ๕ เสนอขายสินค้ารถและเรือพร้อมอุปกรณ์ดับเพลิงในราคาที่สูงเกิน ความเป็นจริงหรือไม่ เห็นว่า ราคารถและเรือพร้อมอุปกรณ์การดับเพลิงที่กรุงเทพมหานครจัดซื้อจากจำเลย ที่ ๕ มีราคาสูงเกินความเป็นจริง ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ของจำเลยที่ ๕ จำเลยที่ ๕ เป็นผู้ประกอบ การค้าสินค้าประเภทนี้มานาน ทั้งจำเลยที่ ๕ ได้ยินยอมให้คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ หอการค้า นานาชาติ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส มีคำชี้ขาดกำหนดมูลค่ายุติธรรมของสินค้าที่ขายในคดีนี้และให้จำเลย ที่ ๕ ช าระเงินส่วนต่างคืนแก่กรุงเทพมหานคร แสดงว่าจำเลยที่ ๕ รู้อยู่แล้วว่าได้เสนอขายสินค้ารถและเรือ พร้อมอุปกรณ์ดับเพลิงในราคาที่สูงเกินความเป็นจริง ปัญหาว่า จำเลยที่ ๕ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ ๕ เข้ามาเกี่ยวข้องกับ โครงการจัดซื้อรถและเรือพร้อมอุปกรณ์ดับเพลิงตั้งแต่แรกจนนำไปสู่การแอบอ้างให้มีการลงนามใน A.O.U. ซึ่งได้กำหนดตัวคู่สัญญาล่วงหน้าเป็นจำเลยที่ ๕ ทั้งรถเรือดับเพลิงที่จัดซื้อในคดีนี้ไม่ใช่สินค้าพิเศษที่ต้องจัดซื้อ จากจำเลยที่ ๕ แต่เพียงรายเดียว ส่วนข้อเสนอให้ดำเนินการในลักษณะรัฐต่อรัฐโดยรับพันธะการค้าต่างตอบแทน เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อปิดโอกาสผู้ประกอบการรายอื่นเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม การจัดซื้อที่ เกิดขึ้นเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ มาแต่แรกที่จะซื้อสินค้าดังกล่าวจากจำเลยที่ ๕ โดยมีพฤติการณ์แบ่งหน้าที่กันทำ เมื่อการกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ เป็นความผิด จำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นเอกชน ที่ร่วมกระทำความผิดด้วยกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของเจ้าพนักงาน 

          พิพากษาว่า จำเลยที่ ๕ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๘๖ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ , ๑๓ ประกอบมาตรา ๑๒ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอ ราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๗ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระทำของ จำเลยที่ ๕ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที ่สุดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ปรับ ๒๖๖,๖๖๖ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก