วันนี้ เวลา ๑๑ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม. ๑/๒๕๖๓ คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๒๐/๒๕๖๕ ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ที่ ๑ และนายอุดมเดช รัตนเสถียร ที่ ๒ จำเลย
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรและเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง จำเลยที่ ๒ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใช้อำนาจหน้าที่กระทำการที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยจำเลยที่ ๒ สับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาที่เสนอต่อประธานรัฐสภา โดยไม่มีสมาชิกรัฐสภาลงชื่อรับรอง ซึ่งร่างฉบับใหม่ที่นำมาสับเปลี่ยน มีการเพิ่มเนื้อหาแตกต่างจากร่างเดิมในหลักการที่เป็นสาระสำคัญ คือผู้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาซึ่งสมาชิกภาพสิ้นสุดลง สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้เลยโดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลา ๒ ปี และจำเลยที่ ๑ รู้เห็นให้มีการสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา โดยไม่ตรวจสอบและสั่งการให้แก้ไขให้ถูกต้อง และจงใจนับกำหนดเวลาแปรญัตติย้อนหลัง ทำให้เหลือระยะเวลาให้สมาชิกรัฐสภาเสนอคำแปรญัตติเพียง ๑ วัน อันเป็นการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๙๑ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๙๘
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ประการแรกว่า การสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา จำเลยทั้งสองมีความผิดหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ ๒ ผู้ดำเนินการนำร่างฉบับใหม่มาเปลี่ยนร่างเดิม ปรากฏตามบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างเดิมว่า วาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภาให้สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่า ๑ วาระได้เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า เป็นกรณีที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาที่สมาชิกภาพสิ้นสุดลงสามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ติดต่อกันเลยโดยไม่ต้องเว้นวรรค เพียงแต่ร่างเดิมมิได้ระบุว่าแก้ไขตรงมาตราใดที่มีข้อความตามนัยให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาติดต่อกันได้ อันเป็นการบกพร่องในการร่างของร่างเดิม เมื่อร่างฉบับใหม่ระบุแก้ไขตรงมาตรา ๑๑๖ วรรคสอง ก็เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้ตรงกับที่สมาชิกรัฐสภาที่ร่วมกันลงชื่อเสนอญัตติได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่ก่อนยื่นญัตติตามที่ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)แจ้งแก่คณะกรรมการพรรคร่วมรัฐบาลให้ทราบถึงข้อบกพร่องและได้แก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามที่ได้หารือและที่ได้แถลงข่าวกันไว้แล้วให้ช่วยแจ้งสมาชิกรัฐสภาทราบด้วยและขอแก้ไขให้เป็นไปตามที่ได้หารือกันไว้ อันเป็นการกระทำโดยเปิดเผย และในการประชุมสภาวาระที่หนึ่งซึ่งจำเลยที่ ๒ ผู้เสนอญัตติอภิปรายหลักการและเหตุผลตามความในร่างฉบับใหม่ ไม่มีสมาชิกที่ร่วมลงชื่อเสนอญัตติตามร่างเดิมทักท้วง เชื่อว่าจำเลยที่ ๒ เพียงต้องการแก้ไขร่างเดิมเพื่อให้มีเนื้อความถูกต้องตรงกับความประสงค์ของสมาชิกที่ลงชื่อเสนอมาเท่านั้น หาใช่มีเจตนาแก้ไขตามความประสงค์ส่วนตัว อีกทั้งจำเลยที่ ๒ มิได้ใช้อิทธิพลหรืออำนาจครอบงำสั่งการใดๆบังคับเจ้าหน้าที่ของรัฐสภาให้ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ นำร่างฉบับใหม่มาเปลี่ยนได้ พร้อมทั้งคืนร่างเดิมแก่ฝ่ายจำเลยที่ ๒ ไป มีเหตุผลให้จำเลยที่ ๒ เข้าใจว่าเป็นกรณีสามารถทำได้ตามปกติ ส่วนจำเลยที่ ๑ ได้สอบถามนิติกรเจ้าของเรื่องรายงานว่า ตรวจสอบแล้วเห็นว่าแก้ไขได้ และร่างที่นำมาเปลี่ยนมิได้ขัดกับหลักการที่เสนอไว้แต่เดิม สามารถทำได้ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๓๖ โดยมีข้าราชการประจำรัฐสภาและอดีตข้าราชการประจำรัฐสภาซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานจริงให้ถ้อยคำตรงกันว่า ตราบใดที่ประธานรัฐสภายังมิได้สั่งบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา ผู้เสนอญัตติย่อมแก้ไขเพิ่มเติมได้เสมอ ส่วนวิธีการแก้ไขเพิ่มเติม ไม่มีกำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ใด แต่มีแนวทางที่เคยปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนานหลายปีว่า การแก้ไขเพิ่มเติมทำได้ ๕ แนวทาง รวมทั้งการนำร่างฉบับใหม่มาเปลี่ยนร่างเดิมซึ่งมีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่เคยปฏิบัติสืบทอดกันมา และจำเลยที่ ๑ ได้เรียกผู้อำนวยการสำนักการประชุม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไปสอบถามแล้วยืนยันว่าสามารถทำได้ นับว่ามีเหตุผลให้จำเลยที่ ๑ เชื่อได้ว่าทำได้ หากจำเลยที่ ๑ ไม่เชื่อว่าทำได้หรือเชื่อว่าทำไม่ได้จำเลยที่ ๑ ก็ให้ฝ่ายจำเลยที่ ๒ ไปดำเนินการเสนอร่างเข้ามาใหม่ โดยให้สมาชิกรัฐสภาร่วมลงชื่อเสนอญัตติเข้ามาใหม่ก็ทำได้โดยง่ายเพราะจำเลยทั้งสองสังกัดพรรคการเมืองเดียวกันและผู้ร่วมลงชื่อเสนอญัตติส่วนใหญ่ก็สังกัดพรรคการเมืองเดียวกันกับจำเลยทั้งสอง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาและเจตนาพิเศษ การกระทำของจำเลยทั้งจึงไม่เป็นความผิดตามคำฟ้องข้อ ๓.๑
ประการที่สอง การที่จำเลยที่ ๑ นำร่างฉบับใหม่ที่จำเลยที่ ๒ เสนอบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาเป็นความผิดหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ กระทำเช่นนั้นเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ ๑ เชื่อว่าผู้เสนอญัตติสามารถแก้ไขญัตติได้หากประธานรัฐสภายังไม่ได้สั่งอนุญาตให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา จึงเป็นการสั่งไปโดยถือว่าได้มีการแก้ไขญัตติเดิมเป็นร่างฉบับใหม่เพียงฉบับเดียวแล้วนั่นเอง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาและเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกที่ร่วมพิจารณาญัตติ ฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดตามคำฟ้องข้อ ๓.๒
ประการที่สาม จำเลยที่ ๑ จงใจนับกำหนดเวลาแปรญัตติย้อนหลัง ทำให้เหลือระยะเวลาให้สมาชิกรัฐสภาเสนอคำแปรญัตติเพียง ๑ วัน เป็นการกระทำความผิดอาญาตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อที่ประชุมรัฐสภาลงมติให้รับหลักการในวาระที่หนึ่งเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๖ และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.๒๕๕๓ ข้อ ๙๖ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขั้นคณะกรรมาธิการ สมาชิกรัฐสภาผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ก็ให้เสนอคำแปรญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการภายในกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันถัดจากวันที่รัฐสภารับหลักการแห่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เว้นแต่รัฐสภาจะได้กำหนดเวลาแปรญัตติสำหรับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไว้เป็นอย่างอื่น มีผู้เสนอให้กำหนดเวลาเสนอคำแปรญัตติภายใน ๖๐ วัน แต่เมื่อที่ประชุมรัฐสภายังไม่ได้มีการลงมติ ถือว่ารัฐสภาไม่ได้กำหนดเวลาเสนอคำแปรญัตติไว้เป็นอย่างอื่น การที่จำเลยที่ ๑ เรียกประชุมรัฐสภาอีกครั้งเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๖ และที่ประชุมรัฐสภาลงมติให้กำหนดเวลาเสนอคำแปรญัตติภายใน ๑๕ วัน จำเลยที่ ๑ วินิจฉัยให้นับแต่วันรับหลักการตามข้อบังคับข้างต้น เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ตีความโดยจำเลยที่ ๑ เชื่อเช่นนั้นจริง การจะเป็นความอาญาตามฟ้องต้องมีข้อเท็จจริงให้รับฟังด้วยว่า จำเลยที่ ๑ มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ และมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือมิฉะนั้นก็มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ปรากฎว่าสมาชิกรัฐสภายื่นหรือเสนอคำแปรญัตติทันภายในกำหนด ๒๐๒ คน คงมีเพียงนาย น.ที่ยื่นคำแปรญัตติไม่ทัน แม้อาจได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่จำเลยที่ ๑ ก็ให้โอกาสนาย น. ได้อภิปรายในวาระที่สอง ความเสียหายที่หากมีก็ไม่มากนัก พยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาและเจตนาพิเศษดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดตามคำฟ้องข้อ ๓.๓
พิพากษายกฟ้อง./