วันนี้ เวลา 9.30 นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม. 8/2565 ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นายนริศร ทองธิราช จำเลย
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยง สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 24 ปีที่ 3 ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ ประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... จำเลยนำบัตรประจำตัวและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นหลายใบมาใช้แสดงตนและออกเสียงลงคะแนนของจำเลยกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกรัฐสภารายอื่น โดยเสียบบัตรแสดงตนและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวหมุนเวียนใส่เข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนและลงมติคราวละหลายใบในการออกเสียงลงคะแนนในคราวเดียวกัน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2562 มาตรา 172, 192 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.36/2562 ของศาลนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ต่อมาขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ และข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 24 ได้ประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... ขณะเกิดเหตุมีการแสดงตนและออกเสียงลงคะแนนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 6 และมาตรา 20 จำเลยนำบัตรลงคะแนน (บัตรจริง) ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นหลายใบมาใช้แสดงตนและออกเสียงลงคะแนนแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายนั้น โดยเสียบบัตรลงคะแนน (บัตรจริง) ดังกล่าวหมุนเวียนใส่เข้าไปในเครื่องอ่านบัตรแล้วกดปุ่มแสดงตนและลงมติในการลงคะแนนคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย อันจะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือการครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทยโดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามมาตรา 122 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ทั้งเป็นการขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิญาณตนไว้ตามมาตรา 123 และขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามมาตรา 126 วรรคสาม ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงเสียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนน มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนของสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมนั้น ๆ เป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ทุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย จึงเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ตามบทนิยามของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 เช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ปวงชนชาวไทย ฝ่ายนิติบัญญัติ สมาชิกรัฐสภาอื่น ประชาชน และผู้มีชื่ออื่น หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นความผิดตามฟ้อง และแม้ว่าลักษณะการกระทำความผิดเป็นอย่างเดียวกัน สถานที่เกิดเหตุเดียวกัน และมีเจตนาประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกันก็ตาม แต่จำเลยกระทำความผิดแต่ละครั้งต่างเวลา มิได้กระทำต่อเนื่องกัน ทั้งเจตนาของจำเลยที่นำบัตรลงคะแนน (บัตรจริง) ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นมาใช้แสดงตนและออกเสียงลงคะแนนแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายนั้นในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... มาตรา 20 ก็เป็นเจตนาขึ้นใหม่ แยกต่างหากจากเจตนาแสดงตนและออกเสียงลงคะแนนแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... มาตรา 6 ในตอนแรกซึ่งสำเร็จไปแล้ว แสดงว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดแต่ละส่วนแยกจากกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน รวม 2 กรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนหรือมีเหตุอื่นตามคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ก็ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ แต่เห็นควรลงโทษจำเลยในอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 12 เดือน นับโทษจำคุกของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 22/2565 ของศาลนี้.