คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน (คดีทุจริตน้ำบาดาล)

portfolio
25 เมษายน 2566
เข้าดู 167 ครั้ง

วันนี้ เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.๔/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๘/๒๕๖๖ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ จำเลย 

คดีนี้ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ โจทก์ยื่นฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ ในคณะกรรมาธิการวิสามัญดังกล่าว วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ จำเลยได้เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งของจำเลย ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นการปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙, ๑๕๗ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลเริ่มไต่สวนนัดแรกวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เห็นว่า การไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานเป็นดุลพินิจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่ได้ร้องขอให้คณะกรรมการไต่สวนหมายเรียกเอกสารจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลมาเป็นพยานหลักฐานของคณะกรรมการไต่สวนโดยตรง เพียงแต่ขอให้ติดตามเร่งรัดให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลจัดส่งเอกสารให้จำเลยเพื่อนำมาประกอบการทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของจำเลยเท่านั้น เมื่อขณะนั้นจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา จึงไม่มีประเด็นตามคำชี้แจงของจำเลยที่คณะกรรมการไต่สวนจะต้องพิจารณาเรียกเอกสารมา การที่คณะกรรมการไต่สวนใช้ดุลพินิจไม่ดำเนินการติดตามเร่งรัดเอกสารตามที่จำเลยร้องขอในกรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่คณะกรรมการไต่สวนไม่เรียกพยานบุคคล ๓ ปาก มาไต่สวนตามที่จำเลยร้องขอนั้น คณะกรรมการไต่สวนได้บันทึกเหตุผลไว้ในรายงานการไต่สวนตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว และมีการไต่สวนพยานบุคคลมากถึง ๑๗ ปาก มิได้ไต่สวนข้อเท็จจริงอย่างรวบรัด ทั้งอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาหลายครั้ง จนกระทั่งจำเลยได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาพร้อมเอกสารแล้ว อันเป็นการให้โอกาสจำเลยชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูล คณะกรรมการ ป.ป.ช. มิได้เร่งรีบสรุปสำนวนตามที่จำเลยอ้าง 
การไต่สวนคดีนี้ในชั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงชอบด้วยกฎหมาย 

องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากเห็นว่า โจทก์มีนายศักดิ์ดาเป็นประจักษ์พยานที่รู้เห็นเรื่องที่จำเลยโทรศัพท์มาพูดเรียกเงินและของานจากนายศักดิ์ดา แต่จำเลยเบิกความปฏิเสธ คำเบิกความของนายศักดิ์ดาและคำเบิกความของจำเลยมีลักษณะโต้แย้งยันกันอยู่ จึงต้องพิจารณาพยานพฤติเหตุแวดล้อมประกอบกัน จำเลยไม่ได้ซักถามเรื่องงบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในฐานะอนุกรรมาธิการตามปกติทั่วไป จำเลยเป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ คนที่หนึ่ง หากจำเลยต้องการเอกสารแบบแปลนและประมาณราคาก็สามารถมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมาธิการดำเนินการให้ได้ ไม่มีความจำเป็นต้องโทรศัพท์ติดต่อกับนายศักดิ์ดาด้วยตนเองโดยไม่มีบุคคลอื่นได้ยินข้อความสนทนา ทั้งถ้อยคำที่จำเลยพูดคุยกับนายศักดิ์ดายังเกี่ยวพันไปถึงการขอเข้าเป็นผู้รับจ้างงานก่อสร้างของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลอันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลย หลังเกิดเหตุนายศักดิ์ดาเล่าให้นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ และนายสุรินทร์ วรกิจธำรง ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาน้ำบาดาลฟังในคืนเกิดเหตุทันที และวันรุ่งขึ้นได้เล่าให้นายนริศ ขำนุรักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฟังด้วย เมื่อพิจารณาระยะเวลาที่จำเลยโทรศัพท์พูดคุยกับนายศักดิ์ดาประมาณ ๑๕ นาที หากเพียงแค่ขอเอกสารไม่น่าจะต้องใช้เวลานานมากเพียงนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวยังเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบุคคลหลายคนจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่นายศักดิ์ดาจะคิดวางแผนสร้างเรื่องไปบอกพยานทั้งสามว่าจำเลยเรียกเงินและของาน ทั้งยังปรากฏว่านางนันทนา สงฆ์ประชา เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ ติดต่อกับนายศักดิ์ดาให้โทรศัพท์ไปหาจำเลยก่อน พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นไม่อยู่ในวิสัยที่นายศักดิ์ดาจะวางแผนให้จำเลยเป็นฝ่ายเริ่มติดต่อมาก่อน ยิ่งกว่านั้นในวันรุ่งขึ้นนายศักดิ์ดาได้พูดในที่ประชุมว่า เมื่อคืนนี้มีอนุกรรมาธิการคนหนึ่งโทรไปหาผม ตบทรัพย์ผม ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งมีลักษณะเป็นการพูดโต้ตอบด้วยความอัดอั้นกดดันจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนเกิดเหตุโดยยังไม่ระบุชื่อจำเลยว่าเป็นผู้เรียกเงินหรือของาน หากจำเลยไม่โทรศัพท์เรียกเงินและของานก็ไม่มีเหตุที่นายศักดิ์ดาจะต้องพูดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ในที่ประชุม หลังจากนั้นในช่วงบ่ายจำเลยก็ไม่เข้าประชุมอีก นอกจากนี้จำเลยยังโทรศัพท์ไปพูดกับนายภาดล ซึ่งเป็นการกระทำในลักษณะเดียวกับที่จำเลยพูดกับนายศักดิ์ดาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน นายศักดิ์ดาและนายภาดลต่างดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมที่ต้องไปชี้แจงเกี่ยวกับงบประมาณต่อคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ ที่มีจำเลยเป็นรองประธานในวันรุ่งขึ้น พฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยโทรศัพท์ไปเจรจาต่อรองผลประโยชน์จากโครงการที่จำเลยกำลังมีส่วนในการพิจารณางบประมาณดังที่นายศักดิ์ดาและนายภาดลเบิกความ คำเบิกความของนายศักดิ์ดาจึงมีเหตุผลและสอดคล้องเชื่อมโยงกับพยานอื่นทำให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานที่ไต่สวนมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำตามข้อกล่าวหาในฟ้องจริง

จำเลยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ ในคณะกรรมาธิการวิสามัญดังกล่าว จึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าพนักงานของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ และเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ กำหนดกรอบแนวทางการพิจารณาของคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ จำเลยในฐานะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ ย่อมมีอำนาจหน้าที่เสนอความเห็นตามกรอบแนวทางการพิจารณา รวมถึงสามารถเสนอความเห็นในการปรับลดงบประมาณของหน่วยงานต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาลงมติเห็นชอบและเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาต่อไป แม้จำเลยเพียงคนเดียวจะไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการปรับลดงบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลดังที่จำเลยอ้าง เพราะผลการพิจารณาต้อง

เป็นไปตามมติที่ประชุมก็ตาม แต่การเสนอความเห็นเกี่ยวกับงบประมาณในขั้นตอนต่าง ๆ ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของจำเลย ซึ่งจำเลยอาจเสนอความเห็นให้คุณหรือให้โทษแก่งบประมาณของหน่วยราชการที่พิจารณา การที่จำเลยโทรศัพท์ไปเรียกเงินและของานจากนายศักดิ์ดาในการพิจารณางบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ย่อมเป็นการกระทำในตำแหน่งและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยโดยตรง การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับจำเลยโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งของจำเลย ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลและราชการ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามฟ้อง อนึ่ง เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๓ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่จำต้องปรับบทความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก

จำเลยกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ย่อมมีผลให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป โดยไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘๑ วรรคหนึ่งและวรรคสอง กับให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกินสิบปีด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่เนื่องจากในคดีหมายเลขแดงที่ คมจ.๑/๒๕๖๖ ของศาลฎีกา ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน (จำเลยคดีนี้) มีกำหนดเวลา ๑๐ ปี นับแต่วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๖ อันเป็นวันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ซึ่งการกระทำในคดีดังกล่าว เป็นการกระทำเดียวกันกับคดีนี้ จึงเห็นสมควรไม่สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยในคดีนี้อีก 

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก ลงโทษจำคุก ๖ ปี กับให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๕ อันเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่ในคดีนี้ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยตลอดไป โดยไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘๑ วรรคหนึ่งและวรรคสอง