คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน (คดี ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน ๓)

portfolio
19 พฤษภาคม 2566
เข้าดู 50 ครั้ง

เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม 2566ี้ เวลา ๑๔ นาฬิกา องค์คณะผู้พิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.๓/๒๕๖๕ หมายเลขแดงที่ อม.๑๑/๒๕๖๖ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ที่ ๑ นายภูมิศิษฏ์ คงมี ที่ ๒ นางนาที รัชกิจประการ ที่ ๓ จำเลย 

คดีนี้ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ โจทก์ยื่นฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๙.๓๐ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๔๑ นาฬิกา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำเลยทั้งสามลงชื่อเข้าร่วมประชุมโดยไม่ได้ลาประชุม แต่จำเลยที่ ๑ ไม่อยู่ในที่ประชุมช่วงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๓๐ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๓๘ นาฬิกา จำเลยที่ ๒ ไม่อยู่ในที่ประชุมช่วงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๓๐ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๑๐ นาฬิกา และจำเลยที่ ๓ ไม่อยู่ในที่ประชุมช่วงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๒๘ ถึง ๑๕.๔๖ นาฬิกา ต่อเนื่องกัน โดยจำเลยทั้งสามต่างได้ร่วมกับบุคคลใดไม่ปรากฏชัด โดยให้ผู้อื่นหรือยินยอมให้ผู้อื่นหรือกระทำการหรือไม่กระทำการอื่นใด เป็นผลให้ผู้อื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยทั้งสามแสดงตนและลงมติในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ แทนจำเลยทั้งสาม โดยปรากฏข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ในการประชุมดังกล่าวยืนยันว่าจำเลยทั้งสามได้เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร และจำเลยที่ ๑ ได้แสดงตนและลงมติร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตั้งแต่มาตรา ๓๐ ถึงมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๗ ถึงมาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๕ ถึงมาตรา ๕๓ กับวาระที่สาม และข้อสังเกต จำเลยที่ ๒ แสดงตนและลงมติตั้งแต่มาตรา ๓๐ ถึงมาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๗ ถึงมาตรา ๔๐ และจำเลยที่ ๓ แสดงตนและลงมติตั้งแต่มาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๕ ถึงมาตรา ๔๙ อันเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการกระบวนการใช้อำนาจนิติบัญญัติในการตราพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๓ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชนผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒ จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลเริ่มไต่สวนนัดแรกวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เห็นว่า จำเลยทั้งสามไม่อยู่ในที่ประชุมในช่วงเวลาตามฟ้องโจทก์และมีบุคคลอื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยทั้งสามแสดงตนและลงมติแทนจำเลยทั้งสามในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รายมาตราในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อช่วงเวลาที่จำเลยทั้งสามไม่อยู่ในห้องประชุมมีเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดแตกต่างกัน การที่บุคคลอื่นจะสามารถแสดงตนและลงมติแทนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ครบถ้วนทุกครั้งและแทนจำเลยที่ ๓ จำนวนต่อเนื่องหลายครั้ง บุคคลนั้นจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าจำเลยทั้งสามจะออกจากห้องประชุมเมื่อใด และจะกลับเข้าประชุมอีกหรือไม่ รวมทั้งต้องสามารถมีหรือได้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยทั้งสามมาอย่างรวดเร็วพอที่จะลงมติแทนได้ทันเวลา จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่ามีการวางแผนและเตรียมการคบคิดกันมาก่อน เพื่อให้ทราบข้อมูลว่าจำเลยทั้งสามจะไม่อยู่ในที่ประชุมช่วงเวลาใดและบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยทั้งสามอยู่ที่ใด  หากจำเลยทั้งสามไม่แจ้งข้อมูลหรือไม่ยินยอมมอบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้ไป การกระทำดังกล่าวก็ไม่อาจสำเร็จลุล่วงได้ ประกอบกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้เป็นการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ อันเป็นกฎหมายสำคัญ หากร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรก็จะมีผลถึงความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคร่วมรัฐบาลต้องเข้าร่วมประชุมและลงมติ เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไปได้ จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาลจึงต้องฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอื่นใช้แสดงตนและลงมติแทนในขณะที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยทั้งสามยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติแทนจำเลยทั้งสาม เมื่อการออกเสียงลงคะแนนเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ที่จะมีสิทธิออกเสียงลคะแนนได้คือผู้ที่เข้าประชุมและอยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีการออกเสียงลงคะแนนเท่านั้น การกระทำใดเพื่อให้มีการออกเสียงลงคะแนนแทนกันจึงเป็นการขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๒๐ วรรคสาม และไม่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๘๐ วรรคสาม อันถือเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนนั้นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดคำบังคับให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการให้ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเฉพาะในวาระที่สอง วาระที่สาม และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามก่อให้เกิดความเสียหายแก่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่นิติบัญญัติและส่วนราชการแล้วและถือได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นหรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยไม่ชอบ และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแล้วจำเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามฟ้อง 

เมื่อศาลวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามการกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา จำเลยทั้งสามย่อมต้องพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่และต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งด้วย และเมื่อปรากฏว่าศาลมีคำสั่งในคดีนี้ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ หยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๕ ส่วนจำเลยที่ ๓ พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงต้องพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนับแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๕ เป็นต้นไป และจำเลยทั้งสามต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป โดยไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไปและไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ อีก  โดยองค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากเห็นควรไม่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสาม

พิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒ ลงโทษจำคุกคนละ ๑ ปี องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก เห็นว่า ทางไต่สวนของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๙ เดือน พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำโดยทุจริตถือเป็นเรื่องร้ายแรง จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนับแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นวันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยทั้งสามตลอดไป โดยไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘๑ วรรคหนึ่งและวรรคสอง.