ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๑๐/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

portfolio
23 มิถุนายน 2566
เข้าดู 5379 ครั้ง

          เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา ณ ห้องพิจารณาคดี ๒๐๘ ชั้น ๒ อาคารศาลฎีกา ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๑๐/๒๕๖๖ โดยมติที่ประชุมใหญ่ ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังศาลจังหวัดอุทัยธานี และเบิกตัวจำเลยมาฟังที่ศาลจังหวัดอุทัยธานี โดยมีประเด็นข้อกฎหมายที่สำคัญเกี่ยวกับคำสั่งกำหนดโทษจำเลยใหม่ในคดียาเสพติด ดังนี้ คำว่า กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด หรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ นั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิดหรือบัญญัติถึงกำหนดโทษ หรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิด ซึ่งในคดีนี้ ได้แก่ บทความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนกับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบทกฎหมายให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิด หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด และมีผลให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา ๓ (๑) ในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน กับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุก ๘ เดือน และจำคุก ๑๐ ปี และปรับ ๗๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อโทษที่กำหนดในภายหลังสำหรับความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา ๔๓ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๑๕๗/๑ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา ๑๖๒ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี ๔ เดือน และปรับไม่เกิน ๒๖,๖๖๖.๖๖ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา ๙๐, ๑๔๕ วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑๕ ปี และปรับไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ดังนั้น โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ความผิดทั้งสองฐานจึงไม่อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ (๑) ที่ศาลจะกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้ สำหรับ ประเด็นเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๗ ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา ๔ ส่วนประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ก็ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษได้ แม้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะมิได้บัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษไว้ แต่ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษ ตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปตามประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีก โดยไม่เข็ดหลาบ และโจทก์มีคำขอให้เพิ่มโทษตามกฎหมายเดิมไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในฟ้องแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ ที่เป็นบททั่วไปได้และถือว่าการเพิ่มโทษเป็นส่วนหนึ่งของโทษตามคำพิพากษา ที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษให้แก่จำเลยใหม่จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว หาใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาอันถึงที่สุดอันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๐ ประกอบพระราชบัญญัติ วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

          คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว วางหลักในทำนองว่า แม้คดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม หากมีกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นบทความผิดหรือบทกำหนดโทษหรือบทเพิ่มโทษเป็นคุณแก่จำเลย ศาลมีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายใต้เงื่อนไขว่า โทษที่กำหนดไว้ตามคำพิพากษา (หมายถึงโทษที่วาง ไม่ใช่โทษสุทธิ) ต้องหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง

          การอ่านคำพิพากษาผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวข้างต้น นอกจากเป็นผลให้จำเลยได้รับประโยชน์ทางคดีโดยสะดวก รวดเร็วแล้ว ยังส่งผลให้ศาลฎีกาสามารถเผยแพร่ข้อกฎหมายสำคัญได้ทันทีเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่จำต้องรอการแจ้งการอ่านจากศาลชั้นต้น

          ทั้งนี้ ท่านที่สนใจสามารถติดต่อขอคัดหรือตรวจคำพิพากษาฉบับเต็ม ได้ที่ศูนย์วิชาการงานคดี ศาลฎีกา