เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๑ นาฬิกา องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.๙/๒๕๖๕ หมายเลขแดงที่ อม.อธ.๗/๒๕๖๖ ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ที่ ๑ นายอุดมเดช รัตนเสถียร ที่ ๒ จำเลย
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรและเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง จำเลยที่ ๒ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใช้อำนาจหน้าที่กระทำการที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยจำเลยที่ ๒ สับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาที่เสนอต่อประธานรัฐสภาโดยไม่มีสมาชิกรัฐสภาลงชื่อรับรอง ซึ่งร่างฉบับใหม่ที่นำมาสับเปลี่ยนมีการเพิ่มเนื้อหาแตกต่างจากร่างเดิมในหลักการที่เป็นสาระสำคัญ คือผู้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาซึ่งสมาชิกภาพสิ้นสุดลง สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้โดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลา ๒ ปี จำเลยที่ ๑ รู้เห็นให้มีการสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่ตรวจสอบและสั่งการให้แก้ไขให้ถูกต้อง และจงใจนับกำหนดเวลาแปรญัตติย้อนหลังทำให้เหลือระยะเวลาให้สมาชิกรัฐสภาเสนอคำแปรญัตติเพียง ๑ วัน เป็นการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙๑ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๙๘
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์มีคำสั่งรับอุทธรณ์วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่า ก่อนจำเลยที่ ๑ จะอนุญาตบรรจุระเบียบวาระการประชุมญัตติที่จำเลยที่ ๒ เสนอ จำเลยที่ ๒ นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่จัดทำขึ้นใหม่มาสับเปลี่ยนกับร่างเดิม สอดคล้องกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของโจทก์ แต่โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๒ นำร่างฉบับใหม่มาสับเปลี่ยนหลังจากจำเลยที่ ๑ เห็นชอบบรรจุญัตติเข้าระเบียบวาระการประชุมแล้ว ขัดแย้งกับคำฟ้องและสำนวนการไต่สวนของโจทก์ ส่วนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๕ - ๑๘/๒๕๕๖ แม้จะเกี่ยวเนื่องกับการกระทำของจำเลยทั้งสองแต่ก็เป็นการวินิจฉัยหลังเกิดเหตุ และแม้ผลคำวินิจฉัยจะถือเป็นที่สุดและมีผลผูกพันกับทุกองค์กร แต่ตามคำวินิจฉัยไม่มีประเด็นวินิจฉัยถึงความรับผิดทางอาญาของบุคคลใด คดีนี้เป็นคดีอาญาซึ่งศาลจำต้องพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด รวมทั้งเจตนาและเจตนาพิเศษ โดยศาลมีอำนาจไต่สวนพยานหลักฐานจนรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดจริงจึงจะลงโทษจำเลยทั้งสองได้ เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้วินิจฉัยถึงองค์ประกอบความผิดตามฟ้อง จึงหาได้ผูกพันให้ศาลฎีกาจำต้องพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่า การที่จำเลยที่ ๒ และคณะยื่นร่างเดิมเพื่อขอแก้ไขวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาให้มาจากการรับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน เป็นไปตามที่สมาชิกรัฐสภาบางส่วนได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนตั้งแต่ก่อนยื่นญัตติ ทั้งมีการอ้างถึงหลักการไม่จำกัดวาระในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งตามบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแนบท้ายบันทึกหลักการและเหตุผลในการเสนอร่าง มีข้อความระบุในข้อ ๒.๑ ที่แสดงให้เห็นถึงการเสนอแนวคิดและหลักการตามที่ได้มีการร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลา ๒ ปี จำเลยที่ ๒ อ้างว่าในการเสนอร่างเดิมมีสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมลงนามทักท้วงว่าร่างบกพร่องไม่เป็นไปตามที่แถลงข่าวไว้ เชื่อว่าการแก้ไขสับเปลี่ยนร่างฉบับใหม่มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๒ โดยพลการเพื่อประโยชน์ของตนเป็นส่วนตัว และจำเลยที่ ๒ เข้าใจโดยสุจริตว่า การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นเพียงการตกเติมเนื้อความส่วนที่ขาดหายซึ่งยังอยู่ในหลักการและเจตนารมณ์ที่แท้จริงของสมาชิกที่เข้าชื่อเสนอญัตติ นอกจากนี้ พยานที่เป็นข้าราชการเจ้าหน้าที่ และอดีตข้าราชการซึ่งปฏิบัติงานในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาต่างยืนยันว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ ยังไม่บรรจุญัตติตามร่างเดิมเข้าระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา ตามธรรมเนียมและแนวทางปฏิบัติทางธุรการของสำนักงานที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมายาวนานถือว่าเป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมร่างได้โดยไม่จำเป็นต้องลงรับหนังสือใหม่หรือให้สมาชิกร่วมลงชื่อเสนอใหม่ แนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมร่างดังกล่าวใช้ทั้งการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ โดยเจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามลำดับชั้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน และมีการตรวจสอบร่างฉบับใหม่แล้ว จนมีการทำบันทึกข้อความฉบับใหม่เพื่อเสนอจำเลยที่ ๑ ทั้งได้ความว่าภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติทางธุรการให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยดังกล่าว พฤติการณ์แห่งคดีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใจและได้ยึดถือธรรมเนียมและแนวทางปฏิบัติทางธุรการที่ให้สามารถนำร่างมาสับเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องลงเลขรับหนังสือใหม่และไม่ต้องให้สมาชิกลงชื่อเสนอร่างใหม่เป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติงานตลอดมา ทั้งกรณีมิใช่เรื่องที่ประธานรัฐสภาตรวจสอบและพบว่ามีข้อบกพร่องอันจะต้องแจ้งผู้เสนอเพื่อแก้ไขร่างให้ถูกต้อง ภายหลังจำเลยที่ ๑ อนุญาตให้บรรจุระเบียบวาระการประชุมแล้ว จำเลยที่ ๒ ได้แถลงหลักการและเหตุผลของญัตติตามร่างฉบับใหม่ให้สมาชิกรัฐสภาทราบแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนใดทักท้วง ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาปกปิดไม่แจ้งให้สมาชิกรัฐสภาทราบถึงการสับเปลี่ยนร่างฉบับใหม่ หรือรวบรัดกระบวนการให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หรือมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใด
ส่วนการที่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งอนุญาตให้บรรจุร่างฉบับใหม่ที่มีการสับเปลี่ยนเข้าระเบียบวาระการประชุมรัฐสภานั้น ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ สอบถามเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานก่อนแล้วจนทราบว่าสามารถทำได้ตามธรรมเนียมและแนวทางปฏิบัติทางธุรการ ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ เชื่อว่าผู้เสนอญัตติสามารถแก้ไขญัตติได้หากประธานรัฐสภายังไม่ได้สั่งอนุญาตให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุม การที่จำเลยที่ ๑ สั่งอนุญาตในบันทึกข้อความที่ทำขึ้นในการเสนอร่างเดิม ก็ปรากฏว่าบันทึกข้อความดังกล่าวมีการระบุถึงเนื้อหาสาระ “กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งจำนวน ๒๐๐ คน ... รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมวาระการดำรงตำแหน่งให้สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระได้” สอดคล้องกับเนื้อความและหลักการในมาตรา ๑๑๖ วรรคสองของร่างฉบับใหม่ ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐสภาได้คืนร่างเดิมให้ฝ่ายจำเลยที่ ๒ ไปแล้ว โดยเจ้าหน้าที่มิได้เสนอบันทึกข้อความที่จัดทำขึ้นใหม่ภายหลังมีการเสนอร่างฉบับใหม่ต่อจำเลยที่ ๑ เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาสั่งการให้นำร่างฉบับใหม่เพียงฉบับเดียวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามความเข้าใจของจำเลยที่ ๑
สำหรับการนับกำหนดเวลาแปรญัตติย้อนหลังได้ความว่าในการประชุมรัฐสภา ขั้นรับหลักการ จำเลยที่ ๑ กล่าวว่า “ไม่มีท่านใดเห็นเป็นอย่างอื่น กำหนดเวลาแปรญัตติก็ตามข้อบังคับ” มีสมาชิกรัฐสภาเสนอญัตติขอให้กำหนดเวลาแปรญัตติแตกต่างกัน คือ ภายใน ๖๐ วัน และภายใน ๑๕ วัน แต่องค์ประชุมไม่ครบ จำเลยที่ ๑ กล่าวว่า “เสียงไม่พอ องค์ประชุมไม่ครบ เพราะฉะนั้นก็ถือว่า ๑๕ วัน ตามข้อบังคับ .... องค์ประชุมไม่ครบก็ปิดประชุม” โดยก่อนเกิดเหตุไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับกำหนดเวลาการเสนอคำแปรญัตติมาก่อน ซึ่งตามถ้อยคำในข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๙๖ วรรคหนึ่ง “... เว้นแต่รัฐสภาจะได้กำหนดเวลาแปรญัตติ สำหรับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไว้เป็นอย่างอื่น” เป็นการใช้ถ้อยคำ “กำหนดเวลาแปรญัตติ” อาจเป็นผลให้จำเลยที่ ๑ เข้าใจว่าการกำหนดเวลาเป็นอย่างอื่นที่ต้องมีการลงมติเป็นเพียงเรื่องการกำหนดจำนวนวันตามที่มีผู้เสนอญัตติแตกต่างกัน และแม้ยังไม่สามารถลงมติเกี่ยวกับกำหนดเวลาแปรญัตติได้ แต่กระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญยังคงต้องดำเนินการต่อไปสู่วาระที่สองและวาระที่สาม พฤติการณ์ของจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นการกำหนดกรอบเวลาตามข้อบังคับการประชุมไว้เบื้องต้นเพื่อให้สมาชิกรัฐสภาเตรียมการเกี่ยวกับการเสนอคำแปรญัตติ ซึ่งต่อมาในการประชุมลงมติเรื่องกำหนดเวลาแปรญัตติ จำเลยที่ ๑ ยืนยันว่า ตนได้ปฏิบัติตามถ้อยคำที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๙๖ ณ เวลานั้นรัฐสภายังไม่เห็นเป็นอย่างอื่น ญัตติยังค้างอยู่ กำหนดเวลาแปรญัตติก็ต้องเป็น ๑๕ วันตามข้อบังคับ ดำเนินการอย่างอื่นไม่ได้ จำเลยที่ ๑ รับฟังคำคัดค้านของสมาชิกรัฐสภาเกี่ยวกับวันเริ่มนับกำหนดเวลาแล้ววินิจฉัยว่าต้องเป็นไปตามข้อบังคับดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ยืนยันถึงความเข้าใจของตนมาโดยตลอด หากสมาชิกรัฐสภาเห็นว่าไม่สามารถยื่นได้ทันก็สามารถลงมติให้ใช้กำหนดเวลา ๖๐ วัน ได้ แต่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ก็ยังลงมติให้ใช้กำหนดเวลา ๑๕ วัน และมีการยื่นคำแปรญัตติได้ทันมากถึง ๒๐๒ ราย ทั้งไม่ปรากฏว่าระยะเวลาอันเกิดจากการเริ่มต้นนับกำหนดเวลาแปรญัตติที่แตกต่างกันจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการเร่งรัดกระบวนการเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือเอื้อประโยชน์ให้จำเลยที่ ๑ หรือพวกพ้อง หรือสมาชิกวุฒิสภาบางส่วนอย่างไร อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหมดฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน.