คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน (คดีจารุพงศ์ 1 : ชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์)

portfolio
14 กรกฎาคม 2566
เข้าดู 74 ครั้ง

เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม 2566 เวลา ๑๔ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.๘/๒๕๖๖ ระหว่าง คณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ จำเลย 

คดีดังกล่าวเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยถูกกล่าวหาว่า ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในระหว่างมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ จำเลยทราบเหตุว่าจะมีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่อาคารลิปตพัลลภฮอลล์ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์  25๕7 จำเลยไม่ได้สั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามอำนาจหน้าที่ แต่กลับเดินทางไปเข้าร่วมการชุมนุมดังกล่าว ซึ่งได้มีการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไปทั่วประเทศ แกนนำการชุมนุมกล่าวปราศรัยในลักษณะให้มีการแบ่งแยกประเทศและสั่งให้มีการรวมตัวกันเพื่อไปปิดล้อมองค์กรอิสระต่าง ๆ จำเลยยอมรับข้อเสนอของแกนนำและกล่าวปราศรัยในลักษณะยุยงส่งเสริมเพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ความว่า “...วันนี้กลุ่มผู้นำทั้งหลายได้ออกมาเสนอข้อเสนอแนะต่าง.... ผมในนามของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลก็จะขอน้อมรับเอาข้อเสนอทุกข้อของท่านไปดำเนินการต่อร่วมกับพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดงหมดทุก ๆ คน ของ นปช. ครับ เราต่อสู้ก็เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย...ทุกคนในที่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นแกนนำ...ในฐานะผมเป็นนายทะเบียนอาวุธปืนนะครับ...คนไทยเนี่ยมีอาวุธปืนอยู่ในประเทศสิบล้านกระบอกนะครับพี่น้องครับ เป็นอาวุธปืนที่ใช้สำหรับป้องกันตัวเอง เพราะฉะนั้นใครที่จะดูถูกอำนาจพลังของประชาชนก็ให้มันรู้ไป ผมเชื่อมั่นว่าพวกเราทุกคนก็ต้องเตรียมความพร้อมทุกอย่างเพื่อเข้าสู่สถานการณ์แตกหัก...ผมในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในคณะรัฐบาล เรารัฐบาลนี้มุ่งมั่นทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และจะทำงานต่อไปโดยไม่หวั่นไหว และจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด...” จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าบ้านเมืองเกิดปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกของชนในชาติจนรัฐบาลต้องประกาศยุบสภาและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง จำเลยเพิกเฉยไม่สั่งการเพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นในบ้านเมือง จนเป็นเหตุให้มีกลุ่มชุมนุมเดินทางเข้ามาชุมนุมเรียกร้องยังพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปิดล้อมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และมีการนำป้ายผ้าไวนิลที่ปรากฏข้อความทำนองแบ่งแยกประเทศไปติดบริเวณสะพานลอยหลายแห่ง การกระทำของจำเลยเป็นผลโดยตรงให้เกิดผลกระทบต่อความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๑๖ (2) (3) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๒ ประกอบมาตรา ๓๐ และ 192

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า แม้จำเลยจะมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติราชการหรือสั่งราชการและบังคับบัญชาเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายในการบริหารงานที่รับผิดชอบ ซึ่งในคดีนี้คือการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่การจะวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์อุทธรณ์หรือไม่ ย่อมต้องพิจารณาว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ แต่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหรือไม่ สำหรับข่าววิทยุในราชการกรมการปกครองเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองรายงานสถานการณ์ก่อนเกิดเหตุให้ผู้บังคับบัญชาเพื่อทราบตามลำดับชั้นจนถึงจำเลย ส่วนการเผชิญเหตุและจัดการดูแลการชุมนุมนั้น จังหวัดนครราชสีมาได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการที่รับผิดชอบดูแลเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจสั่งการให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยได้ ทั้งมีการจัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองติดตามความเคลื่อนไหวและแจ้งตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาให้จัดเจ้าพนักงานตำรวจดูแลความสงบเรียบร้อย แสดงให้เห็นว่าการดูแลความสงบเรียบร้อยในเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่จะมีขึ้น ได้มีการดูแลและสั่งการในเบื้องต้นตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่จังหวัดนครราชสีมาตั้งขึ้นโดยครบถ้วนแล้ว นอกจากนี้ การชุมนุมของกลุ่ม นปช. จัดขึ้นในอาคารลิปตพัลลภฮอลล์ อันเป็นสถานที่ปิด การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ คงมีเพียงการขึ้นกล่าวปราศรัยของแกนนำผู้ชุมนุม แล้วยุติการชุมนุมเองในเวลา 18 นาฬิกาเศษ โดยไม่ได้เกิดเหตุร้ายหรือความรุนแรงใด ๆ ขึ้น จึงไม่มีเหตุหรือความจำเป็นใดที่จำเลยจะต้องมีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งอีก 

ส่วนการที่จำเลยขึ้นกล่าวปราศรัยในที่ชุมนุมของกลุ่ม นปช. ด้วยถ้อยคำตามฟ้องนั้น จำเลยรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรครัฐบาล จำเลยมาในที่ชุมนุมของกลุ่ม นปช. เวลา 18 นาฬิกา อันเป็นเวลานอกเวลาราชการแล้วการเข้ามีส่วนร่วมในการชุมนุมดังกล่าวจึงน่าจะเป็นการกระทำไปในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ส่วนคำกล่าวเกี่ยวกับอาวุธปืน มิได้กล่าวยั่วยุ ปลุกระดมให้ประชาชนที่ครอบครองอาวุธดังกล่าวนำอาวุธปืนออกมากระทำการใดที่มิชอบด้วยกฎหมาย คำกล่าวปราศรัยของจำเลยมีลักษณะสื่อสารออกไปด้วยอารมณ์โกรธและไม่พอใจกลุ่ม กปปส. พฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยยังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง 

สำหรับปัญหาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ (๒) (๓) หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยกล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่มีการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียม ในเวลาต่อมาได้มีผู้นำแผ่นป้ายข้อความยุยงท้าทายให้แบ่งแยกประเทศไปติดตามที่สาธารณะหลายแห่ง อันเป็นกรณีสืบเนื่องจากการชุมนุมของกลุ่ม นปช. และการขึ้นกล่าวปราศรัยของจำเลย ซึ่งในเหตุดังกล่าวนี้มีผู้กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลกให้ดำเนินคดีแก่ผู้ที่กระทำความผิดและจำเลย ต่อมาพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลกดำเนินการสอบสวนไปตามอำนาจและหน้าที่ ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด ส่วนการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง และพนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกมีคำสั่งตามความเห็นของพนักงานสอบสวนทั้ง ๒ คดี โดยที่เหตุคดีนี้เกิดเมื่อปี ๒๕๕๗ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการดำเนินคดีแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมต้องบังคับตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมิได้บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ ด้วย โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจรับหรือยกข้อกล่าวหาในชั้นสอบสวนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ (๒) (๓) มาดำเนินการอีก และต้องถือว่าได้มีการดำเนินคดีแก่จำเลยในการกระทำเดียวกันโดยเจ้าพนักงานที่มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ ผลของคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกดังกล่าวจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๗ กล่าวคือ ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันนั้นอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันเป็นกฎหมายอื่นเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าการดำเนินการนั้นไม่เที่ยงธรรม โจทก์จึงไม่มีอำนาจไต่สวนในเรื่องเดียวกันและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดนี้ จึงพิพากษายืน.