คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน (คดี ส.ส.เสียบบัตรแทน ๑ : ชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์)

portfolio
26 กรกฎาคม 2566
เข้าดู 48 ครั้ง

เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๑ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.๑๐/๒๕๖๖ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นายนริศร ทองธิราช จำเลย 

คดีดังกล่าวเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยถูกกล่าวหาว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ ๓ จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ ๑๐ และวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ เวลากลางวัน ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาวาระที่ ๒ ขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ครั้งที่ ๙ และครั้งที่ ๑๐ เมื่อประธานในที่ประชุมร่วมรัฐสภาในขณะนั้นแจ้งให้สมาชิกลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จำเลยนำบัตรประจำตัวและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่นจำนวนหลายใบอันเกินกว่าจำนวนบัตรแสดงตนและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ที่จำเลยและสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งจะพึงมีและใช้ได้เพียงคนละ ๑ ใบ คนละ ๑ เสียง มาใช้ทำการแสดงตนและลงคะแนนของจำเลย และแสดงตนและออกเสียงแทนสมาชิกรัฐสภารายอื่น โดยทำการเสียบบัตรแสดงตนและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวหมุนเวียนใส่เข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนและลงมติคราวละหลายใบในการออกเสียงลงคะแนนในคราวเดียวกัน อันเป็นการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเกินกว่า ๑ เสียงในการลงคะแนนแต่ละครั้ง การกระทำของจำเลยมีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ทุจริตบิดเบือนขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาโดยชัดแจ้ง ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของปวงชนชาวไทย อันเป็นการกระทำการในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบและมิอาจถือได้ว่ามติของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา อันเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ปวงชนชาวไทยโดยส่วนรวมและเป็นการกระทำโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔ , ๑๒๓/๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๔ , ๑๗๒ , ๑๙๒ , ๑๙๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุกกระทงละ ๑ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกกระทงละ ๘ เดือน รวม ๒ กระทง เป็นจำคุก ๑๖ เดือน พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงแม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดใด ๆ มาก่อน ก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษแก่จำเลย

จำเลยอุทธรณ์

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า โจทก์มีพยานยืนยันประกอบคลิปวิดีทัศน์หมาย วจ. ๖ รายการที่ ๒และ วจ. ๙ รายการที่ ๓ เป็นคลิปวิดีทัศน์ที่จำเลยรับว่าบุคคลในภาพเคลื่อนไหว คือจำเลย ซึ่งคลิปวิดีทัศน์หมาย วจ. ๖ รายการที่ ๒ และ วจ. ๙ รายการที่ ๓ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองส่งไปตรวจพิสูจน์ ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ผลการตรวจพิสูจน์ไม่พบร่องรอยการตัดต่อของคลิปวิดีทัศน์ หมาย วจ. ๖ รายการที่ ๒ และ วจ. ๙ รายการที่ ๓ ทั้งเสียงที่ปรากฏในคลิปวิดีทัศน์หมาย วจ. ๖ รายการที่ ๒ และ วจ. ๙ รายการที่ ๓  นั้น ตรงกับข้อความที่บันทึกไว้ในรายงานการประชุมรัฐสภาตามเอกสารหมาย จ. ๕๙ และ จ. ๖๐ พยานหลักฐานตามทางไต่สวนล้วนสอดคล้องเชื่อมโยงกัน เชื่อว่า คลิปวิดีทัศน์หมาย วจ. ๖ รายการที่ ๒ เป็นภาพเหตุการณ์ลงคะแนนระหว่างร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในมาตรา ๙ เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ส่วนคลิปวิดีทัศน์หมาย วจ. ๙ รายการที่ ๓ เป็นเหตุการณ์ลงมติปิดอภิปรายที่มีการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในมาตรา ๑๐ เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ โดยมีภาพของจำเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงคะแนนซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและสมาชิกรายอื่นเสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนหลายใบเพื่อลงคะแนนแทนสมาชิกอื่น ดังนั้นการที่จำเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงคะแนนซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและสมาชิกรายอื่น เสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนหลายใบเพื่อลงคะแนนแทนสมาชิกอื่น ในการประชุมเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาในมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ เมื่อวันที่ ๑๐ และวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ อันเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๒๒ ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุ ทั้งเป็นการขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิญาณตนไว้ตามมาตรา ๑๒๓ และขัดต่อการออกเสียงลงคะแนนตามมาตรา ๑๒๖ วรรคสาม การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาทุจริตต่อหน้าที่ตามบทนิยามของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔ เป็นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ปวงชนชาวไทย ฝ่ายนิติบัญญัติ สมาชิกรัฐสภาอื่น ประชาชน และผู้มีชื่ออื่น หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นความผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายืน.