คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน (คดีทุจริตโรงพัก : ชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์)

portfolio
22 สิงหาคม 2566
เข้าดู 85 ครั้ง

วันนี่ (๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖) เวลา ๑๐ นาฬิกา องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.๑๑/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.๑๒/๒๕๖๖ ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  โจทก์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ ๑ พลตำรวจเอกปทีป ตันประเสริฐ ที่ ๒ พลตำรวจตรีสัจจะ คชหิรัญ ที่ ๓ พันตำรวจโทสุริยา แจ้งสุวรรณ์ ที่ ๔ บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ที่ ๕ นายวิศณุ วิเศษสิงห์ ที่ ๖ จำเลย 

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ ๒ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการประกวดราคาโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน ๓๙๖ หลัง วงเงิน ๖,๒๙๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๖ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ได้กระทำความผิด โดยมีจำเลยที่ ๕ และที่ ๖ เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ กล่าวคือ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๗/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการโครงการตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ  โดยให้กระจายการจัดซื้อจัดจ้างไปยังหน่วยงานในสังกัด (ตำรวจภูธรภาค และตำรวจภูธรจังหวัด) มติคณะรัฐมนตรีย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ ๑ ต่อมาจำเลยที่ ๒ มีบันทึกขออนุมัติยกเลิกแนวทางการจัดจ้างแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค  และขออนุมัติประกวดราคาจัดจ้างทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียว จำเลยที่ ๑ อนุมัติโดยไม่นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา มีผลทำให้ราคากลางมีวงเงินจำนวน ๖,๓๘๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งสูงกว่าราคากลางเดิม ๖,๑๐๐,๕๓๘,๙๐๐ บาท และทำให้ไม่สามารถคัดเลือกผู้เสนอราคาเพื่อดำเนินการตามโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายได้ เนื่องจากจำเลยที่ ๕ โดยจำเลยที่ ๖ เสนอราคาต่ำกว่าความเป็นจริง  ต่อมาจำเลยที่ ๕ โดยจำเลยที่ ๖ ยื่นบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้าง (Bill of Quantities หรือ BOQ) เสนอราคาของเสาเข็มต่ำกว่าราคากลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติถึงหน่วยละ ๓,๘๔๐ บาท และต่ำกว่าราคาของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ถึงหน่วยละ ๕,๕๓๐ บาท จำเลยที่ ๓ รับเอกสารของจำเลยที่ ๕ ไว้แล้วมอบให้จำเลยที่ ๔ โดยไม่นำเสนอบัญชีปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้างต่อคณะกรรมการประกวดราคา เป็นการมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่ ๕ ในการคิดคำนวณส่วนต่างกรณีมีงานลดหรืองานเพิ่มจากการตอกเสาเข็ม จำเลยที่ ๕ ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗  จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๗  พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๒ จำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ 

จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ

วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๕ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๕ และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๖

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่  ๑ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องพิจารณาก่อนว่า มติคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๗/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ได้อนุมัติหลักการซึ่งรวมถึงวิธีการจัดจ้างโดยให้กระจายการจัดจ้างไปยังหน่วยงานในสังกัดในภูมิภาคด้วย อันมีผลผูกพันให้จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๑๐ กำหนดว่า ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องกำหนดประเด็นที่ประสงค์จะให้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ความเห็นชอบหรือมีมติในเรื่องใดให้ชัดเจน ถ้าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ความเห็นชอบ หรือมีมติในเรื่องที่เสนอ ให้ถือว่ามติคณะรัฐมนตรีมีผลผูกพันเฉพาะหลักการแห่งประเด็นที่เสนอ เว้นแต่มติของคณะรัฐมนตรีจะระบุไว้ชัดเจนถึงรายละเอียดที่อนุมัติ เห็นชอบ หรือมีมติ แสดงว่ารายละเอียดข้อใดที่มติคณะรัฐมนตรีไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนย่อมไม่ถือว่ามีผลผูกพัน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากมติคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๗/๒๕๕๒ แล้ว ไม่มีข้อความระบุอย่างชัดเจนถึงรายละเอียดในเรื่องวิธีการจัดซื้อจัดจ้างว่าจะต้องดำเนินการโดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค ๑ - ๙) ได้ความจากนาย ส. และนาย ธ. อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เบิกความว่า มติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๗/๒๕๕๒ ไม่รวมการจัดซื้อจัดจ้าง พยานทั้งสองปากมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ  ส่วนข้อความในมติคณะรัฐมนตรีตอนถัดไปที่ว่า “...โดยให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ...” นั้น ย่อมหมายถึงความเห็นที่อยู่ในหน้าที่ของสำนักงบประมาณเท่านั้น นอกจากนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมิได้ขออนุมัติในเรื่องวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง อันสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ.๒๕๔๘  มาตรา ๔ ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เลือกวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเอง กรณีรับฟังได้ว่า มติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๗/๒๕๕๒ เป็นการอนุมัติเฉพาะประเด็นเรื่องงบประมาณ ไม่รวมถึงวิธีการจัดจ้าง จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างดังที่โจทก์ฟ้อง กรณีเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่จะใช้ดุลพินิจและตัดสินใจทบทวนได้  แม้จำเลยที่ ๑ จะใช้เวลาพิจารณาเพียง ๒ วันก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏข้อพิรุธผิดปกติวิสัยส่อแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ได้เข้าไปมีส่วนริเริ่มหรือใช้ให้เจ้าพนักงานเสนอความเห็นเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการจัดซื้อจัดจ้างไม่ว่าแบบใดต่างก็เลือกดำเนินการได้และมีขั้นตอนประกาศเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ประกอบการทั่วไปได้มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมได้  ไม่อาจฟังดังที่โจทก์อ้างว่าการรวมการจัดจ้างไว้ที่ส่วนกลางจะทำให้ไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเสมอไป ส่วนที่คณะกรรมการกำหนดราคากลางชุดใหม่ได้กำหนดราคากลางวงเงินจำนวน ๖,๓๘๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งสูงกว่าราคากลางเดิมที่กำหนดจำนวน ๖,๑๐๐,๕๓๘,๙๐๐ บาท ก็ดี หรือผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างตามโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายได้ก็ดี ล้วนแต่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ทั้งจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เข้าไปรับรู้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ ทั้งโจทก์มิได้ไต่สวนและฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการกระทำความผิดตามฟ้อง 

ปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่  ๒ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๗/๒๕๕๒ เป็นการอนุมัติเฉพาะประเด็นเรื่องงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้างจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ ที่จะต้องดำเนินการไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ การขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเกิดจากข้อทักท้วงของผู้ปฏิบัติงานเองที่เสนอมาตามขั้นตอนปกติตั้งแต่ก่อนที่จำเลยที่ ๒ จะมีการมอบหมายงานตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๕๗๙/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ แล้ว โดยเฉพาะจำเลยที่ ๒ มิได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างนั้นมาแต่แรก และข้อทักท้วงของเจ้าหน้าที่พัสดุข้อหนึ่งก็สอดคล้องกับที่กรมบัญชีกลางเคยมีหนังสือตอบข้อหารือระบุว่า  กรณีที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในครั้งเดียวกัน หากไม่มีเหตุผลประการใดที่ทำให้ส่วนราชการไม่สามารถดำเนินการในครั้งเดียวกันได้แล้ว ส่วนราชการต้องจัดซื้อหรือจัดจ้างในครั้งเดียวกัน และเมื่อพิจารณาต่อไปเห็นได้ว่า การขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างของจำเลยที่ ๒ นั้นยังคงใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยการประกวดราคาเช่นเดิมซึ่งจำเลยที่ ๑ เคยมีคำสั่งเห็นชอบมาก่อนแล้ว จำเลยที่ ๒ คงเสนอขอเปลี่ยนแปลงจากการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค ๑ - ๙) มาเป็นการเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวเท่านั้น  ซึ่งวิธีการเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวก็ได้เคยมีการศึกษาข้อดีข้อเสียกันมาแล้วตั้งแต่ในคราวก่อน กรณีจึงมีเหตุผลและข้อมูลที่จำเลยที่ ๒ จะเสนอให้จำเลยที่ ๑ ให้ความเห็นชอบเช่นเดิม นอกจากนั้น แม้จำเลยที่ ๑ จะเห็นชอบแล้วก็ยังต้องมีขั้นตอนการประกาศประกวดราคาต่อไป ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้มีผู้เสนอราคาแข่งขันกัน ๕ ราย และแข่งขันสู้ราคากันถึง ๗๓ ครั้ง ฉะนั้น การที่จำเลยที่ ๒ เสนอขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเพียงอย่างเดียวจึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าเพื่อกำหนดตัวผู้รับจ้างล่วงหน้าหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น  เมื่อจำเลยที่ ๒ มิได้กระทำการอื่นใดอีกจึงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยมิชอบ ส่วนที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าคณะกรรมการกำหนดราคากลางชุดใหม่ได้กำหนดราคากลางวงเงินสูงกว่าราคากลางเดิมนั้นก็เป็นการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดราคากลางเอง และเหตุที่ราคากลางสูงขึ้นเป็นผลมาจากมีการเปลี่ยนแปลงแบบแปลนก่อสร้าง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ ๒ โดยเฉพาะจำเลยที่ ๕ ได้เสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเดิม ราคากลางใหม่มิได้มีผลกระทบทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ส่วนที่ต่อมาผู้เสนอราคาไม่ก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนของการบริหารสัญญา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค ๑ - ๙) หรือเป็นกรณีเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวก็ตาม ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นความเสียหายที่จำเลยที่ ๒ คาดเห็นได้ว่าต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นการกระทำความผิดตามฟ้อง  

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปมีว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) ๑๐๐๒/ว๖ ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ เรื่อง การประเมินราคาในงานประกวดราคาจ้างก่อสร้าง เอกสารหมาย จ.๑๑๖ มิได้มีข้อกำหนดโดยชัดแจ้งให้คณะกรรมการประกวดราคามีหน้าที่ต้องพิจารณารายละเอียดและราคาต่อหน่วยของวัสดุแต่ละรายการที่ปรากฏในบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา สำหรับเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เลขที่ ๑๕/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการประกวดราคาจะพิจารณาจากราคารวมเป็นสำคัญ คดีนี้จำเลยที่ ๕ เสนอราคารวมเป็นเงิน ๕,๘๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลาง จำนวน ๕๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๘.๔๕ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๕ เสนอราคาต่ำจนถึงขั้นคาดหมายได้ว่าจะไม่อาจดำเนินงานตามสัญญาได้  นอกจากนั้น โจทก์คงกล่าวหาว่าบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้าง (BOQ) ของจำเลยที่ ๕ มีรายการผิดปกติเพียงรายการเดียวคือ รายการเสาเข็มมีราคาต่ำ โดยจำเลยที่ ๕ ยื่นเสนอราคาเสาเข็ม ราคาหน่วยละ ๒,๕๒๐ บาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่กำหนดราคาไว้หน่วยละ ๖,๓๖๐ บาท และต่ำกว่าราคาของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ที่กำหนดราคาไว้หน่วยละ ๘,๐๕๐ บาท แต่ข้อนี้ได้ความว่าผู้เสนอราคาสามารถปรับลดราคาวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างบางรายการลงได้ตามศักยภาพในการบริหารต้นทุน ราคา และกำไรของผู้เสนอราคา เพียงแต่จะต้องอยู่ภายในกรอบวงเงินที่เสนอและได้รับการยืนราคาครั้งสุดท้าย จำเลยที่ ๕ ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเสาเข็มที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการนี้ จึงมีเหตุที่จำเลยที่ ๕ จะปรับลดราคาในส่วนเสาเข็มให้เหลือหน่วยละ ๒,๕๒๐ บาท ได้ อันเป็นวิสัยของการเสนอราคาที่จะต้องแข่งขันกันอย่างเสรีตามความเป็นธรรมและความเหมาะสมแห่งสภาพวัสดุนั้น อีกทั้งค่างานเสาเข็มเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๓๓,๐๘๙,๓๘๗.๕๐ บาท ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับค่าจ้างตามสัญญาจ้าง จำนวน ๕,๘๔๘,๐๐๐,๐๐๐  บาท  คิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณอัตราร้อยละ ๓.๙๘ ยิ่งสนับสนุนให้เห็นว่าลำพังเฉพาะราคาเสาเข็มรายการเดียวยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จะต้องเสนอไม่รับราคารวมทั้งหมดของจำเลยที่ ๕ นอกจากนั้น กรณีนี้เป็นเรื่องเสนอราคาต่ำกว่าปกติเพียงรายการเดียวและรายการเสาเข็มก็ไม่ใช่รายการที่เป็นหัวข้อใหญ่ตามที่กำหนดไว้ในหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) ๑๐๐๒/ว๖ ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ เรื่อง การประเมินราคาในงานประกวดราคาจ้างก่อสร้าง จึงไม่ถึงกับเป็นเหตุสำคัญที่จะเรียกจำเลยที่ ๕ มาเจรจา แม้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จะมิได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้างเสนอให้คณะกรรมการประกวดราคาพิจารณา แต่ก็ไม่มีข้อพิรุธประการใดว่าจะเป็นการปกปิดเพื่อเอื้อประโยชน์แก่จำเลยที่ ๕ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนที่โจทก์อ้างว่า การกระทำของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหักค่าเสาเข็มได้น้อยกว่าราคาที่แท้จริงนั้น การหักค่าเสาเข็มจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการผิดสัญญาซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ต้องเกิดโดยแน่นอน และโดยปกติทั่วไปผู้ประกอบการจะไม่คำนึงถึงเรื่องนี้เป็นหลักตั้งแต่ในชั้นยื่นเสนอราคา นอกจากเรื่องราคาเสาเข็มดังกล่าวแล้วก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่ามีการกำหนดตัวจำเลยที่ ๕ ไว้เป็นผู้รับจ้างล่วงหน้า หรือสมรู้ร่วมคิดกันกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ ๕ ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญาโดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือสั่งการให้เลือกจำเลยที่ ๕ เป็นผู้ชนะการเสนอราคาโดยเฉพาะเจาะจง อันจะเป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการประกวดราคาแต่อย่างใด พยานหลักฐานที่ไต่สวนมาฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ กระทำความผิดตามฟ้อง 

ปัญหาสุดท้ายว่า จำเลยที่ ๕ และที่ ๖ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยที่ ๕ และที่ ๖ เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ กระทำความผิด จำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ย่อมไม่อาจเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ กระทำความผิดตามฟ้องได้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์และอุทธรณ์จำเลยที่ ๒ อีกต่อไป เพราะไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปได้

พิพากษายืน