วันนี้ (๒๕ มกราคม ๒๕๖๗) เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา องค์คณะผู้พิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.๑๒/๒๕๖๕ ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ นาย ภ. จำเลยที่ ๑ รวมกับพวก ๖ คน จำเลย
สำหรับคดีนี้ สืบเนื่องจากคดีหมายเลขดำที่อม.๕/๒๕๕๔
หมายเลขแดงที่ อม.๗/๒๕๕๖ ที่ โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่๑
ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ ๓ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ ๔ เป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ จำเลยที่ ๕ เป็นนิติบุคคลต่างประเทศ และเป็นคู่สัญญาผู้ขายยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยให้แก่กรุงเทพมหานคร และจำเลยที่๖ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระหว่างปลายปี ๒๕๔๕ ถึงต้นปี ๒๕๔๙ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔
และนายส. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในขณะนั้นใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งราชการโดยมิชอบและโดยทุจริต ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์แก่จำเลยที่ ๕
โดยฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบของทางราชการเกี่ยวกับการพัสดุ มีจำเลยที่ ๕
ร่วมและสนับสนุนการกระทำความผิดโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ กล่าวคือ จำเลยที่ ๕ จัดทำร่างข้อตกลงของความเข้าใจ (Agreement of Understanding : A.O.U) แล้วมอบหมายให้ทูตพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐออสเตรียนำร่าง A.O.U
ไปให้จำเลยที่ ๔ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อพิจารณารับร่าง ในวันเดียวกัน นาย ส.
มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๑ ว่าร่าง A.O.U ถูกต้อง ต่อมาจำเลยที่ ๑ ลงนาม
ในร่าง A.O.U โดยปราศจากอำนาจ และนาย ส. ลงนามในข้อตกลง
ซื้อขายยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยกับจำเลยที่ ๕
ไม่เป็นไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ และไม่ได้ขอรับความเห็นกับตรวจสอบความถูกต้องจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เป็นเหตุให้กรุงเทพมหานครตกลงซื้อสินค้าจากจำเลยที่ ๕ ซึ่งบางรายการผลิตขึ้นในประเทศไทยและมีราคาแพงกว่าราคาในท้องตลาด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๓ กับนาย ร. อธิบดีกรมการค้า ต่างประเทศร่วมกับบริษัท ซ. จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท
ในครอบครัวของจำเลยที่ ๓ ผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์เสนอคณะรัฐมนตรีให้มีมติเน้นสินค้าประเภทไก่ต้มสุกแทนที่จะเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)
ไม่เป็นไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติและตามวิธีการค้าต่างตอบแทน
เป็นเหตุให้ประเทศไทยขาดดุลการค้าต่อสาธารณรัฐออสเตรีย
เป็นเงิน ๖,๖๘๗,๔๘๙,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๖ ทราบว่าจำเลยที่ และนาย ส. ยื่นคำขอ
เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) ให้แก่จำเลยที่ ๕ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่ไม่แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อตรวจสอบ ทั้งมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งระงับ
การขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) และให้ธนาคาร ก. อนุมัติวงเงินเพื่อจ่าย
ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยไม่พิจารณาถึงขั้นตอนการจัดซื้อที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
และระเบียบราชการ และแก้ไขข้อความอันเป็นสาระสำคัญของเงื่อนไขในเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) หลายรายการ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่จำเลย ที่ ๕ ในการส่งมอบสินค้าและการชำระเงิน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและกรุงเทพมหานคร
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ มาตรา ๘๓ และมาตรา ๘๖ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา๗ มาตรา๑๑ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓
จำเลยที่ ๕ ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาครั้งแรก ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะ
จำเลยที่ ๕ ออกจากสารบบความ ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๕๗ ประกอบมาตรา๘๓ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๓
ประกอบมาตรา ๑๒ และจำเลยที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๕๗ ประกอบมาตรา๘๓ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ การกระทำของจำเลยที่ ๒
และที่ ๔ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตาม
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก
จำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑๒ ปี และจำคุกจำเลยที่๔ มีกำหนด ๑๐ ปี ข้อหาอื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๖ คดีถึงที่สุดแล้ว
ต่อมาวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๕ ขึ้นพิจารณาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๘ ศาลอนุญาต
แต่จำเลยที่ ๕ ไม่มาศาลในวันพิจารณาครั้งแรก จึงถือว่าให้การปฏิเสธตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐มาตรา ๑๓ วรรคสาม และเมื่อศาลออกหมายจับกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๕ มาเพื่อพิจารณาคดี แต่ไม่สามารถจับได้ภายในสามเดือนนับแต่วันออกหมายจับ ศาลจึงพิจารณาคดีจำเลยที่ ๕ ต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๘ วรรคสอง
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณา
แล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๕ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๘๖ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ
การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๓
ประกอบมาตรา ๑๒ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๘๖ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๒ มาตรา ๗ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระทำของจำเลยที่ ๕
เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษ
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา๑๓ ประกอบมาตรา ๑๒ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐
ลงโทษปรับ ๒๖๖,๖๖๖ บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งลงโทษจำเลยที่ ๕ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๓ ประกอบมาตรา ๑๒ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๖ ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ หรือไม่
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การกระทำความผิดกรรมเดียวแต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๙๐ ได้กำหนดให้ศาล
ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดแต่บทเดียว
ซึ่งเป็นขั้นตอนของการพิจารณาปรับบทลงโทษ เมื่อปรับบทลงโทษบท
หนักที่สุดแล้ว จึงจะพิจารณาโทษที่จะใช้บังคับแก่ผู้กระทำความผิดต่อไป
เพื่อให้ใช้บทบัญญัติที่เป็นความผิด ร้ายแรงที่สุดลงโทษผู้กระทำความผิด
โดยบทบัญญัติที่เป็นความผิดร้ายแรงที่สุดคือ บทบัญญัติที่มีโทษหนักที่สุดหาจำต้องพิจารณาถึงสถานะของผู้กระทำความผิดว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล
ที่จะสามารถบังคับโทษ นั้นได้หรือไม่ด้วยดังที่โจทก์อุทธรณ์ มิฉะนั้นจะเป็นการขยายความนอกเหนือจากเจตนารมณ์ของกฎหมาย ส่วนโทษใดเป็นโทษหนักที่สุดนั้น
ต้องพิจารณาตามลำดับโทษที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘ ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน โดยโทษที่อยู่ในลำดับก่อน
ในมาตรานี้ย่อมหนักกว่าโทษ ที่อยู่ในลำดับหลัง ทั้งนี้เมื่อความผิดบทใดเป็นบทหนักแล้ว ก็ใช้อัตราโทษทั้งหมดไม่ว่าโทษจำคุกและโทษปรับตามบทความผิดนั้นเพียงบทเดียวลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด แม้อัตราโทษในบทเบาจะบัญญัติโทษปรับไว้สูงกว่าโทษปรับในบทหนักก็ไม่อาจนำมาใช้ลงโทษได้ เมื่อคดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา
ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า การกระทำตามฟ้องของจำเลยที่ ๕ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิด ต่อกฎหมายหลายบท เมื่อพิจารณาบทกำหนดโทษของทุกฐานความผิดแล้ว เห็นได้ว่าความผิดทุกบทต่าง มีอัตราโทษจำคุกเช่นเดียวกัน กรณีจึงต้องพิจารณาว่าบทความผิดใดมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงมากที่สุดเมื่อความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๓ ประกอบมาตรา ๑๒
และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ มีอัตราโทษจำคุกขั้นสูง ๓๓ ปี ๔ เดือน ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา๗ มีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงเพียง ๕ ปี ดังนี้
ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๒ มาตรา ๑๓ ประกอบมาตรา ๑๒ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงมากกว่าจึงเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด และเมื่อ ถือว่าความผิดบทนี้เป็นบทหนักแล้ว ก็ต้องใช้อัตราโทษทั้งโทษจำคุก
และโทษปรับตามบทนี้ลงโทษ แม้อัตราโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๗จะกำหนดอัตราโทษปรับไว้ร้อยละหำสืบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิด นั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งในคดีนี้เมื่อคำนวณแล้วจะมีจำนวนเงินสูงกว่าโทษปรับในบทหนักก็ตาม ก็มิใช่ความผิดบทที่มีโทษหนักที่สุด ส่วนสถานะของจำเลยที่ ๕ ที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งไม่อาจถูกลงโทษจำคุกได้นั้น หาใช่เงื่อนไขที่จำต้องนำมาพิจารณาในการปรับบทลงโทษตามเงื่อนไขในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ไม่ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษามานั้นจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น