วันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เวลา ๐๘.๔๕ – ๑๖.๐๐ นาฬิกา ณ ห้องประชุม อาคารสำนักประธานศาลฎีกา ศาลฎีกาจัดโครงการเสริมสร้างมาตรฐานการอำนวยความยุติธรรมของศาลฎีกา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ครั้งที่ ๒ แผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา อันมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ตระหนักถึงการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง พัฒนาความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายแรงงานให้แก่ผู้พิพากษา ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการกับหน่วยงานภายนอกประเทศ และเพื่อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๕ – ๒๕๖๘ และนโยบายประธานศาลฎีกา ปี ๒๕๖๖ – ๒๕๖๗ “ที่พึ่ง เที่ยงธรรม เท่าเทียม ทันโลก” โดยมี นายกิตติพงษ์ ศิริโรจน์ รองประธานศาลฎีกา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ และมี นายพิทักษ์ หลิมจานนท์ เลขานุการศาลฎีกา เป็นผู้กล่าวรายงาน
ในการนี้ ได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์ Yueh-Hung Hou (เย่ว หุง โห้ว) คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไทเป ประเทศไต้หวัน มาบรรยายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อเรื่อง “พัฒนาการทางกฎหมายแรงงานในไต้หวัน : หลักกฎหมาย แนวความคิด และคดีตัวอย่างเกี่ยวกับการรวมกลุ่มเจรจาต่อรองของลูกจ้าง และความเท่าเทียมในที่ทำงาน”
ช่วงแรกเป็นการบรรยาย เรื่อง “การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาด้านการร่วมเจรจาต่อรองทางแรงงานและความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมของไต้หวัน” มี นายยศสวิน วนิชสุวรรณ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษาอังกฤษ-ไทย
ช่วงที่สองเป็นการบรรยาย เรื่อง “ความรับผิดชอบของนายจ้างเกี่ยวกับการป้องกันการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ด้านความเท่าเทียมกันทางเพศในไต้หวัน” มี นายณวพร รัตนวราหะ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา และ นางสาวป่านแก้ว วัฒนเวชวิจิตร ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษาอังกฤษ-ไทย
ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยผู้บริหาร ผู้พิพากษาในศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน ผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงาน ผู้พิพากษาในศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานภาค ๑ ถึงภาค ๙ และผู้พิพากษาที่สนใจทั่วไป โดยแบ่งเป็นเข้าร่วมสัมมนา ณ ห้องประชุม จำนวน ๗๑ คน และผ่านโปรแกรม Zoom จำนวน ๕๒ คน รวมผู้พิพากษาที่เข้าร่วมสัมมนาทั้งสิ้น ๑๒๓ คน