วันนี้ เวลา ๑๐ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.๘/๒๕๖๖ คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.๑/๒๕๖๘ ระหว่าง นางสาวฟ้า
เมืองไทย ที่ ๑ กับพวก โจทก์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จำเลย (ชั้นไม่รับคำคู่ความ)
คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และ ๒๐๐ กับขอให้เพิกถอนคำพิพากษาและกระบวนพิจารณาในคดีหมายเลขแดงที่ อ.๒๒๑๕/๒๕๕๖ และคดีหมายเลขแดงที่
อ.๑๓๑๑/๒๕๖๕ ของศาลแขวงขอนแก่น คดีหมายเลขแดงที่ อ.๑๕๐๓/๒๕๕๖ ของศาลจังหวัดสุรินทร์
คดีหมายเลขแดงที่ อ.๙๓/๒๕๕๔ ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดมหาสารคาม กับเพิกถอนคำสั่ง
ในคดีหมายเลขดำที่ อ.๕๓๙/๒๕๖๕ ของศาลแขวงสุรินทร์ และคดีอื่นที่เกี่ยวข้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากโจทก์ทั้งสี่เป็นราษฎรจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง
ทางการเมือง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
พิเคราะห์อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ และคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยแล้ว เห็นควรวินิจฉัยปัญหา
ข้อกฎหมายเสียก่อนว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งไม่ประทับฟ้องของศาลฎีกาแผนกคดีอาญา
ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือไม่ องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์โดยมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณา
แล้วเห็นว่า คำสั่งไม่ประทับฟ้องของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นราษฎรจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นคำสั่งที่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีโดยทำเป็นคำพิพากษาในรูปแบบของคำสั่งจึงมีผลเช่นเดียวกับคำพิพากษาซึ่งคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์
ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๙๕ วรรคสี่ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๖๐ โจทก์ทั้งสี่จึงมีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งไม่ประทับฟ้องของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง
ทางการเมืองดังกล่าวได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ว่า โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นราษฎรมีอำนาจฟ้องจำเลย
ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ว่า
โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้เสียหายโดยตรง เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามมิให้ผู้เสียหายฟ้องคดีต่อ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมากพิจารณาแล้วเห็นว่า แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาจัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๙๕ วรรคหนึ่ง โดยในวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติให้
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามที่บัญญัติ
ไว้ในรัฐธรรมนูญ และในวรรคสามบัญญัติว่าวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ซึ่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๑๐ (๑) บัญญัติให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณา
พิพากษาคดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่
หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ในการนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๕ และ ๒๓๒ ได้จัดตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติขึ้นโดยใน
มาตรา ๒๓๔ (๑) บัญญัติให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีหน้าที่และ
อำนาจไต่สวนและมีความเห็นกรณีที่มีการกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางเมืองมีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเพื่อดำเนินการต่อไป
ตามรัฐธรรมนูญหรือตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อันเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๐ (๑) ข้างต้น นอกจากนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๓๕ วรรคหนึ่ง (๒) ได้บัญญัติถึงกระบวนการไต่สวนคดีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตลอดจนวิธีการและขั้นตอนการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ว่าเมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติด้วยคะแนนเสียง
ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคณะกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีพฤติการณ์
หรือกระทำความผิดตามมาตรา ๒๓๔ (๑) ให้ส่งสำนวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดี
ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำเนินการอื่นตามพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๗๖ ได้บัญญัติสอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญดังกล่าวว่าให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติส่งสำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน
และความเห็นให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติอาจฟ้องคดีได้เองภายใต้เงื่อนไขของ
มาตรา ๗๗ ทั้งนี้ หลักการเรื่องอำนาจฟ้องของอัยการสูงสุดและคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติดังกล่าวยังมีบัญญัติไว้ชัดแจ้งในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๓ ว่า ผู้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
ได้แก่ (๑) อัยการสูงสุด และ (๒) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเท่านั้น จึงเห็นได้ว่า
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีภายใต้เงื่อนไข
และวิธีการดำเนินคดีตามที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐
และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑
ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างไปจากการดำเนินคดีอาญาทั่วไปตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา การที่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นราษฎรฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขอให้ลงโทษจำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในความผิดต่อ
ตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และ ๒๐๐ จึงเป็นการฟ้องคดีโดยไม่ผ่านกระบวนการไต่สวนและพิจารณาลงมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
อีกทั้งโจทก์ทั้งสี่ไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจฟ้องคดีตามเงื่อนไขและวิธีการดำเนินคดีตามที่รัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องได้กำหนดไว้เป็นการเฉพาะแล้ว และเป็นกรณีที่ไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) ซึ่งใช้บังคับแก่
คดีอาญาทั่วไปมาอนุโลมใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ดังที่โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ไว้พิจารณานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.