นนี้ เวลา ๑๔ นาฬิกา ร.ต.อ.คมสันต์ ธุระกิจ รองสารวัตร กองกำกับการวิเคราะห์ข่าวและ เครื่องมือพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค ๔ ได้นำตัวนายสุธี เชื่อมไธสง จำเลยที่ ๑๖ ใน คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.๓/๒๕๖๓ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ กรมการค้าต่างประเทศ ที่ ๑ กับพวกรวม ๕ คน ผู้ร้อง นายภูมิ สาระผล ที่ ๑ กับพวกรวม ๒๘ คน จำเลย มาศาลตามหมายจับ
สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑๖ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔ วรรคหนึ่ง, ๑๐, ๑๒ พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๖ กับผู้ร้องทั้งห้ายื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑๖ ชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งห้าจำนวน ๒๙,๗๙๗,๙๖๔,๖๓๖.๔๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินค่าเสียหาย ๒๐,๐๕๗,๗๒๓,๗๖๑.๖๖ บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑๖ ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลออกหมายจับจำเลยที่ ๑๖ เป็นเวลาเกินกว่า ๓ เดือน แต่ไม่อาจจับกุมได้จึงดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปโดยไม่จำต้องกระทำต่อหน้าจำเลยที่ ๑๖
จำเลยที่ ๑๖ ไม่ยื่นคำให้การคดีส่วนแพ่ง
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑๖ มีความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔ วรรค หนึ่ง, ๑๐, ๑๒ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๒ มาตรา ๑๒๓/๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๖ อันเป็นการกระทำกรรม เดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษ หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุก กรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จำคุกกระทงละ ๘ ปี รวม ๔ กระทง เป็นจำคุก ๓๒ ปี ให้จำเลยที่ ๑๖ ร่วมกับจำเลยที่ ๑๐ ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ชำระเงินแก่ผู้ร้องที่ ๕ จำนวน ๑๖,๙๑๒,๑๒๘,๒๗๓.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๔,๗๑๗,๑๖๕,๒๙๑.๕๔ บาท นับแต่วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ของต้นเงิน ๑,๓๓๗,๕๔๗,๘๙๑.๗๙ บาท นับแต่วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ของต้นเงิน ๕,๖๙๔,๗๔๔,๔๙๖.๗๓ บาท นับแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และของต้นเงิน ๑๖๒,๖๖๕,๕๙๓.๓๐ บาท นับแต่วันที่ 5 กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยดอกเบี้ยนับถึง วันยื่นคำร้องต้องไม่เกินจำนวนตามที่ผู้ร้องที่ ๕ ขอ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๔ ค่าฤชาธรรมเนียม ระหว่างผู้ร้องทั้งห้ากับจำเลยที่ ๑๖ ให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกหมายจับจำเลยที่ ๑๖ มา บังคับตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งห้าอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑๖ ร่วมกับจำเลยที่ ๑๐ ที่ ๑๔ และที่ ๑๕ ชำระ เงิน ๒๐,๐๕๗,๗๒๓,๗๖๑.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน ๑๐,๙๙๑,๗๓๖,๒๕๓.๕๔ บาท นับแต่วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ของต้นเงิน ๒,๑๗๙,๐๗๐,๖๐๗.๗๙ บาท นับแต่วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ของต้นเงิน ๖,๖๘๗,๕๒๑,๓๗๔.๗๓ บาท นับแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และของต้นเงิน ๑๙๔,๔๙๕,๕๒๕.๖๐ บาท นับแต่วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งห้า โดย ดอกเบี้ยนับถึงวันยื่นคำร้องต้องไม่เกินจำนวนตามที่ผู้ร้องทั้งห้าขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาล ฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับตัวจำเลยที่ ๑๖ ไว้ อ่านคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๑๖ ฟังและออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดตามผลคำพิพากษา