ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง ตอนที่ ๙

วันที่เผยแพร่
14/09/2565

ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง ตอนที่ ๙

“แนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับผู้สมัครรับเลือกตั้งกับการสังกัดพรรคการเมือง (ต่อ)”

จากตอนที่แล้วผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ กำหนดให้ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา ๙๗ (๓) เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลาเก้าสิบวันดังกล่าวให้ลดลงเหลือสามสิบวัน 

การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง มีข้อพิจารณาดังนี้

๑. เป็นสมาชิกพรรคการเมือง

๒. เป็นสมาชิกพรรคการเมืองพรรคการเมืองเดียว

๓. เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลาเก้าสิบวันดังกล่าวให้ลดลงเหลือสามสิบวัน

การเป็นสมาชิกพรรคการเมืองพรรคการเมืองเดียวเป็นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญประการหนึ่งสำหรับผู้ที่ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งต้องเตรียมความพร้อมและตรวจสอบเสียก่อนว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ เพราะฉะนั้นอาจจะเสียสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนั้น ๆ ไปได้ และเพื่อประโยชน์ของผู้ที่สนใจ และผู้ที่ประสงค์จะใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งในครั้งต่อไปจึงขอนำตัวอย่างแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่ได้วินิจฉัยไว้ในการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ดังนี้

แนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกากรณีไม่มีชื่อในฐานข้อมูลระบบสมาชิกพรรคการเมือง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2562 ไม่ปรากฏชื่อผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรค ม. ในฐานข้อมูลระบบสมาชิกพรรคการเมือง เมื่อผู้ร้องไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแล้วผู้ร้องจึงมิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2562 ผู้ร้องยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งในนามสมาชิกพรรค ม. ก่อนประกาศรายชื่อผู้สมัคร ผู้คัดค้านตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ร้องแล้วไม่พบข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดของผู้ร้อง จึงทำหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ร้องพร้อมทั้งโทรศัพท์แจ้งผู้ร้องให้ยื่นเอกสารเพิ่มเติม ผู้ร้องได้รับหนังสือและโทรศัพท์แจ้งดังกล่าวแล้ว แต่ผู้ร้องไม่ได้ยื่นเอกสารใบสมัครเป็นสมาชิกพรรค ม. และใบเสร็จรับเงินค่าบำรุงพรรค โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่าผู้ร้องสมัครและชำระเงินค่าบำรุงพรรคเพื่อเป็นสมาชิกพรรค ม. ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2561 ซึ่งหากผู้ร้องได้สมัครพร้อมชำระเงินและเป็นเอกสารที่มีอยู่จริงย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ร้องจะต้องแนบไป

 

พร้อมกับใบสมัครรับเลือกตั้งที่ยื่นต่อผู้คัดค้าน หรือสามารถยื่นเพิ่มเติมได้ภายในกำหนดก่อนวันประกาศรายชื่อผู้สมัคร แต่ผู้ร้องกลับไม่ยื่นทั้งที่เป็นเรื่องที่ต้องรีบดำเนินการเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเอง ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรค ม. ในขณะยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1243/2562 การที่ไม่ปรากฏชื่อผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรค ศ. ในระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองเพราะพรรค ศ. ได้นำข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลพรรคการเมืองว่าผู้ร้องแจ้งลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ศ. และไม่ปรากฏว่าการตรวจสอบของ กกต. ที่ตรวจสอบข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองมีข้อบกพร่องอย่างไร ผู้ร้องจึงไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแล้ว จึงขาดคุณสมบัติ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2562 ผู้คัดค้านไม่ประกาศรายชื่อผู้ร้องเพราะตรวจสอบไม่พบข้อมูลในระบบข้อมูลพรรคการเมือง แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าได้สมัครเป็นสมาชิกพรรค ม. แต่เมื่อปรากฏหลักฐานจากผู้คัดค้านว่าตรวจสอบชื่อผู้ร้องแล้วไม่พบข้อมูลในระบบฐานข้อมูลพรรคการเมือง จึงเป็นความบกพร่องผิดพลาดของพรรค ม. แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าได้สมัครเป็นสมาชิกพรรค ม. ตามใบสมัครสมาชิกและใบเสร็จรับเงิน แต่ขั้นตอนตามกฎหมายพรรคการเมืองที่รับสมัครสมาชิกก็จะต้องบันทึกข้อมูลเข้าสู่ฐานข้อมูลด้วย ตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ข้อ 25 ประกอบ  ข้อ 24 (6) หากมิฉะนั้นแล้ว จะเปิดโอกาสให้มีการทำใบสมัครย้อนหลัง หรือออกใบเสร็จย้อนหลังเพื่อหักล้างที่จะต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด

แนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกา  กรณีลาออกจากพรรคเดิมแล้วสมัครพรรคใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1138/2562 ผู้ร้องสมัครเป็นสมาชิกพรรค ท. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ต่อมาผู้ร้องไปสมัครเป็นสมาชิกพรรค พม. เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2561 แม้ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าได้ลาออกจากพรรค ท. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 แต่เมื่อผู้ร้องแถลงยอมรับข้อเท็จจริงในวันนัดพร้อมว่า ผู้ร้องพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค ท. เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2562 ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังได้ตามคำแถลงของผู้ร้องว่าผู้ร้องพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค ท. ในวันดังกล่าว แสดงว่าในระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2562 ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรค พม. และพรรค ท. ซ้ำซ้อนกัน 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2562 ผู้ร้องอ้างว่าได้จัดทำใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ท. และนำไปยื่นให้แก่เจ้าหน้าที่ศูนย์ย่อยของพรรค เจ้าหน้าที่ไม่ได้ลงลายมือชื่อรับเอกสาร เพียงแต่แจ้งว่าจะนำส่งเอกสารต่อไปให้สำนักงานใหญ่อีกทอดหนึ่ง ผู้ร้องมิได้นำเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวมาเบิกความสนับสนุน คำเบิกความของผู้ร้องจึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเป็นเอกสารสำคัญ การยื่นใบลาออกโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ของพรรคลงลายมือชื่อรับไว้จึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ร้องได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ท. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 แต่ได้ความจากหนังสือด่วนที่สุดของผู้คัดค้านเรื่อง การส่งหลักฐานอื่นเพื่อการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า ผู้ร้องสิ้นสุดจากการเป็นสมาชิกพรรค ท. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2562 ถือได้ว่าในขณะที่ผู้ร้องสมัครเป็นสมาชิกพรรค พม. ผู้ร้องยังคงมีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกพรรค ท. ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติมิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1430/2562 ผู้ร้องสมัครเป็นสมาชิกพรรค พท. ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 และยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ช. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ผู้ร้องจึงเป็นสมาชิกพรรคการเมืองสองพรรคซ้ำซ้อนกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2562 ผู้ร้องเคยสมัครเป็นสมาชิกพรรค พธ. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 โดยผู้ร้องเบิกความว่าส่งใบลาออกจากพรรคการเมืองดังกล่าวทางไปรษณีย์ก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน ทั้งผลการตรวจสอบสมาชิกพรรคการเมืองของผู้คัดค้าน ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ปรากฏว่าผู้ร้องสมัครเป็นสมาชิกพรรค พธ. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 และยังไม่ได้ลาออก จึงเชื่อว่า ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2561 ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองดังกล่าว ที่ผู้ร้องมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ทค. แสดงว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองซ้ำซ้อนกัน 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261/2562 ที่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ    ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา 26 วรรค 2 บัญญัติให้ในกรณีที่ปรากฏต่อนายทะเบียนว่า บุคคลใดเป็นสมาชิกหลายพรรคการเมือง ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องทราบและลบชื่อผู้นั้นออกจากการเป็นสมาชิกของพรรคนั้น มิได้บัญญัติให้มีหนังสือแจ้งเฉพาะหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคแรก หรือหัวหน้าพรรคการเมืองหลัง และมิได้ระบุให้ลบชื่อผู้นั้นออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเฉพาะพรรคการเมืองแรกหรือพรรคการเมืองหลังเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มีเจตนารมณ์ที่จะให้ผู้นั้นพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ซ้ำซ้อนกันทุกพรรค 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1081/2562 ก่อนที่ผู้ร้องจะสมัครเป็นสมาชิกพรรค พส. ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ผู้ร้องเคยเป็นสมาชิกพรรค ทร. แล้วลาออกโดยผู้ร้องอ้างว่าส่งไปรษณีย์ ซึ่งไม่ปรากฏว่า นายทะเบียนสมาชิกพรรคดังกล่าวได้รับหนังสือวันใด แต่ระบบฐานข้อมูลพรรคการเมืองระบุว่าผู้ร้องพ้นจากสมาชิกภาพพรรค ทร. วันที่ 4 มกราคม 2562 การลาออกจึงมีผลสมบูรณ์ในวันดังกล่าวตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา 2๗ วรรค 2 แสดงว่าในระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 จนถึงวันที่ 4 มกราคม 2562 ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองสองพรรคซ้ำซ้อนกัน มีผลให้ผู้ร้องขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 97 (3) และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๔๑ (3)

แผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา

กันยายน ๒๕๖๕


เผยแพร่โดย

แผนกคดีเลือกตั้ง

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่