กรณีที่มีการยื่นขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาในคดีอาญา แล้วไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกา จะถือว่าคดีถึงที่สุดตั้งแต่เมื่อใด

          ปัญหาว่ากรณีที่มีการยื่นขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาในคดีอาญาแล้วไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกา จะถือคดีถึงที่สุดตั้งแต่เมื่อใด

          ในคดีอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติในเรื่องคดีถึงที่สุดเมื่อใดไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ มาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ โดยอนุโลม ปัญหาว่ากรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายยื่นขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษา แต่ไม่มีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษานั้นภายในกำหนดเวลาที่ขอขยายไว้ จะถือว่าคดีถึงที่สุดนับแต่เมื่อใด กรณีดังกล่าว ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “ คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ซึ่งอาจอุทธรณ์ ฎีกา หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้นั้น ถ้ามิได้อุทธรณ์ ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง ....”

          เรื่องนี้เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๘๗๒/๒๕๕๓,๙๕๓๔/๒๕๕๓ และ ๔๐๙๕/๒๕๖๐ วินิจฉัยไว้ในกรณีที่มีคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์หรือฎีกา แล้วปรากฎว่าคู่ความฝ่ายนั้นมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาภายในกำหนดเวลาที่มีการขอขยาย กรณีดังกล่าวให้ถือว่าคดีเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง กล่าวคือคดีย่อมเป็นที่สุดเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของวันสุดท้ายที่คู่ความอาจยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ตามที่มีการขอขยาย

          แต่ต่อมามีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๗/๒๕๖๔ (ประชุมใหญ่) วินิจฉัย คำว่า “ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ไว้ว่า หมายถึงระยะเวลาสิ้นสุดที่กำหนดโดยกฎหมาย กล่าวคือเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้คู่ความฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๘ และมาตรา ๒๑๖ ดังนั้น ในกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ฎีกา และคู่ความมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามที่ได้ขอขยายระยะเวลาไว้ เพื่อมิให้จำเลยผู้ต้องถูกบังคับโทษทางอาญาต้องเสียสิทธิที่จะพึงได้รับตามกฎหมายราชทัณฑ์ และเป็นการนำระยะเวลาที่คู่ความได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลารวมเข้าด้วย คำว่าคดีถึงที่สุดย่อมต้องกลับไปใช้ระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กำหนดโดยกฎหมาย 

 

ผู้เขียน  นางทิพวรรณ หัตถะปนิตร์  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ  นางปรานี เชาวลิต  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๕

 

 

 


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
ตัวการในคดีความผิดเกี่ยวกับป่าไม้

ปกิณกะกฎหมายแรงงาน Right to Freedom of Association

การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่
กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่