ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับกรณีคำพิพากษาเปลี่ยนโทษจำคุกของจำเลยเป็นกักขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23

คำพิพากษาที่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกของจำเลยที่ ๑ เป็นกักขัง แต่ไม่ได้กำหนดสถานที่กักขังไว้ในคำพิพากษาชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะเป็นที่เข้าใจได้ว่าหมายถึงให้กักขังจำเลยที่ ๑ ไว้ ณ สถานที่กักขังของทางราชการ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ว่า คำพิพากษาไม่ได้กำหนดสถานที่กักขังไว้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ส่วนฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ขอให้กักขังจำเลยที่ ๑ ณ สถานที่พักอาศัยของจำเลยที่ ๑ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ที่ไม่เห็นสมควรสั่งในคำพิพากษาให้กักขังจำเลยที่ ๑ นอกเหนือจากสถานที่กักขังที่กำหนดไว้ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ ตรี

คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน โดยให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑ เดือน และปรับ ๓,๕๐๐ บาท เปลี่ยนโทษจำคุกของจำเลยที่ ๑ เป็นกักขัง ๑ เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๓ จำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ไม่ได้กำหนดสถานที่กักขังจำเลยที่ ๑ จึงกระทบสิทธิของจำเลยที่ ๑ ที่จะต้องถูกบังคับตามคำพิพากษาโดยตรง เป็นคำพิพากษาที่ไม่ชัดแจ้งและ
ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ เป็นโทษกักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๓ นั้น ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า หมายถึงให้กักขังจำเลยที่ ๑ ไว้ ณ สถานที่กักขังของทางราชการ โดยไม่จำต้องกล่าวไว้ในคำพิพากษาอีก ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ในข้อนี้แม้เป็นปัญหา
ข้อกฎหมาย แต่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 
มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๒๕๒ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณา
ความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ ส่วนที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาขอให้ศาลฎีกากำหนดสถานที่กักขังเป็นที่พักอาศัยของจำเลยที่ ๑ หรือเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุกสถานเบาแล้วรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยที่ ๑ นั้น ล้วนเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดสถานที่กักขังและดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค ๗ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษกักขังจำเลยที่ ๑ แทนโทษจำคุก และศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน มิได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ ตรี ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ ๑ ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง 

(คำสั่งคำร้องที่ ท.๓๔๐/๒๕๖๕ และมีคำสั่งคำร้องที่ ๑๗๒๖/๒๕๔๙ วินิจฉัยไว้ทำนองเดียวกัน)

 

ผู้เขียน  นางกองแก้ว ว่องพิสุทธิพงศ์  ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ  นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

 

 

 

 

 

 

 

 


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
แนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ตอนที่ 1)

ทำความรู้จัก "Incoterms 2020" ตอนที่ 1

แนวทางการปรับใช้หลักกฎหมายเรื่อง การเรียกค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่

“ข้อพิจารณาในการรอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ : ศึกษาเงื่อนไขประวัติการรับโทษจากคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อม ๑๙/๒๕๖๘”
ตัวการในคดีความผิดเกี่ยวกับป่าไม้