กรณีที่อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาของพนักงานอัยการว่ามีเหตุอันควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย ให้ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญและให้ศาลฎีการับฎีกา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 วรรคหนึ่ง หรือไม่

       พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๔๖ วรรคสี่ บัญญัติให้ในกรณีที่อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาของพนักงานอัยการว่ามีเหตุอันควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย ให้ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญและให้ศาลฎีการับฎีกา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง หรือไม่

          ศาลฎีกาส่งคำโต้แย้งของจำเลยเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๒ ว่าพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๔๖ วรรคสี่ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง 

          คดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำคุก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษและรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด ๒ ปี

          โจทก์และจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกา อัยการสูงสุดรับรองในฎีกาของโจทก์ ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ ส่วนจำเลยศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาและไม่รับฎีกา

          จำเลยยื่นคำร้องว่าพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๔๖ วรรคสาม ที่ให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุอันสมควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย ให้ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญและให้ศาลฎีการับฎีกา เป็นบทกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ขัดหลักการตามรัฐธรรมนูญที่ว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ขอให้ศาลฎีกาส่งคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัตินี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗

          ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยเป็นกรณีกล่าวอ้างบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งศาลจะใช้บังคับแก่คดี ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗ และยังไม่มีคำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ จึงให้ส่งคำโต้แย้งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย

          ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ ๒๒/๒๕๖๕ วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๕ วินิจฉัยกล่าวโดยสรุปว่า การฎีกาคือการพิจารณาตรวจสอบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ อันเป็นหลักประกันสิทธิของคู่ความในคดีให้ได้รับความเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความ เมื่อพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ กำหนดให้มีการพิจารณาคดีเพียงสองชั้นศาล และให้คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นที่สุด โดยนำระบบการอนุญาตฎีกามาใช้บังคับกับการฎีกาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งแตกต่างจากการฎีกาในระบบสิทธิ ที่ให้สิทธิคู่ความฎีกาโดยไม่ต้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกา แม้ว่ากระบวนการฟ้องคดีของพนักงานอัยการจะผ่านขั้นตอนการไต่สวน กลั่นกรองก่อนการฟ้องคดี แต่พนักงานอัยการถือว่ามีสถานะเป็นคู่ความฝ่ายหนึ่งเหมือนกับจำเลย เมื่อคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว คู่ความควรมีสิทธิในการฎีกาตามกฎหมายเท่าเทียมกัน โดยให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยหรือไม่ การรับรองฎีกาโดยอัยการสูงสุดทำให้อำนาจในการวินิจฉัยว่าจะรับฎีกาหรือไม่นั้น มิใช่อำนาจขององค์คณะผู้พิพากษาในศาลฎีกาที่ประธานศาลฎีกาแต่งตั้ง เนื่องจากศาลฎีกาต้องรับฎีกาของพนักงานอัยการโดยไม่อาจใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเป็นประการอื่นได้ ส่งผลให้การนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาของพนักงานอัยการแตกต่างไปจากจำเลยย่อมทำให้หลักประกันสิทธิในการฎีกาของคู่ความในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบระหว่างพนักงานอัยการกับจำเลยได้รับการคุ้มครองที่แตกต่างกัน ไม่เสมอภาคกันในกฎหมาย ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน เป็นการเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อบุคคลด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคลและขัดต่อหลักความเสมอภาค จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง

          จึงวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๔๖ วรรคสี่ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง และกำหนดคำบังคับให้คำวินิจฉัยนี้มีผลเมื่อพ้นสามร้อยหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย

 

ผู้เขียน  นางทิพวรรณ หัตถะปนิตร์  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ  นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่