หลักเกณฑ์ที่สำคัญตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๑๘/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่)

วันที่เผยแพร่
28/03/2566

ข้อสังเกตเพิ่มเติมสำหรับการให้ข้อมูลที่สำคัญฯ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 100/2  และบทความนี้ใช้เฉพาะผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งได้กระทำความผิดก่อนวันที่  9 พฤศจิกายน 2564

บทความนี้ทำขึ้นภายหลังจากที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดมีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 9 ธันวาคม 2564 แต่เห็นว่ายังเป็นประโยชน์สำหรับจำเลยที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตร 100/2  ที่ได้กระทำความผิดก่อนวันที่  9 ธันวาคม 2564  และนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะสามารถทำให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับยาเสพติดจากจำเลยผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเหล่านั้น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดให้หมดไป

ซึ่งจากแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผ่านมาจะเป็นไปในแนวทางที่ต้องให้ข้อมูลการขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดรายอื่นหรือนำไปสู่การยึดยาเสพติดให้โทษจำนวนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับของกลางในคดี เช่น ฎีกาที่ 2613/2549 คำพิพากษาฎีกาที่ 2495/2550 คำพิพากษาฎีกาที 987/2551 จะเป็นแนวการให้ข้อมูลในการกระทำความผิดของผู้อื่น ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ 928/2548 คำพิพากษาฎีกาที่ 5856 /2549 คำพิพากษาฎีกาที่ 2049/ 2551 จะเป็นไปในแนวให้ข้อมูลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของตนเอง

แต่ในปี พ.ศ. 2565 ได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 3018 / 2565 ( ประชุมใหญ่ ) ได้วางหลักเกณฑ์ที่สำคัญใหม่เพิ่มขึ้น ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 สรุปได้สาระสำคัญว่า ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษที่ผู้กระทำความผิดจะได้รับประโยชน์ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นข้อมูลที่นำไปสู่การขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดรายอื่นหรือนำไปสู่การยึดยาเสพติดให้โทษจำนวนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับของกลางในคดีนี้

 

 

       คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3018 / 2565 (ประชุมใหญ่)     พนักงานอัยการจังหวัดสระบุรี  โจทก์

                                                                         นาง  ร.                            จำเลย

       ป.อ. มาตรา 78

       พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 100/2

                  หลังจากจับกุมจำเลยพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนของกลาง  400 เม็ด ที่ล่อซื้อจากจำเลยบริเวณข้างบ้านที่เกิดเหตุ มีการตรวจค้นบริเวณบ้านที่เกิดเหตุแต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ในระหว่างนั้น   จำเลยให้ข้อมูลว่ายังมีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนฝังดินไว้พร้อมทั้งพาเจ้าพนักงานไปขุดพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง 600 เม็ด บริเวณหลังบ้านที่เกิดเหตุ และขุดพบเมทแอมเฟตามินของกลางอีก 1,000 เม็ด  บริเวณไร่อ้อยอ่ะห่างจากหลังบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 20 เมตร เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองให้ข้อมูลว่า หากไม่ได้ข้อมูลจากจำเลยก็จะไม่สามารถตรวจค้นเจอยาเสพติดของกลางนั้น  เห็นว่า หากจำเลยไม่ให้

 

ข้อมูลเกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยซุกซ่อนไว้และพาเจ้าพนักงานไปขุดพบเมทแอมเฟตามีนอีก 1,600 เม็ด เจ้าพนักงานคงไม่สามารถตรวจพบเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวได้ ถือว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง โดยหาจำต้องเป็นข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษหรือการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษรายอื่น และมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยให้ความร่วมมือต่อเจ้าพนักงานเพื่อเป็นเหตุบรรเทาโทษที่เกิดจากความรู้สึกความผิด หรือลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานอันควรได้รับการลดโทษตามความแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาแต่ประการใด ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

 

                        ผู้เขียน  นางยุคิน เทพหนู  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ  นายอนุรักษ์ บุญนิธี  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๖

          


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่