จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีจะมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งได้อีกหรือไม่
คดีที่ศาลพิพากษาให้ยกฟ้อง แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตาม หากคำวินิจฉัยของศาลมีผลกระทบกระเทือนสิทธิของจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นปัญหาดังกล่าวได้ เห็นได้จากคดีโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลย ศาลวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเกิดจากการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับได้ แต่ศาลมิได้วินิจฉัยถึงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ย่อมกระทบกระเทือนต่อสิทธิของจำเลยที่จะอ้างว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองพิพาท หรือคดีที่โจทก์ขอให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีเพราะศาลเห็นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ที่ศาลวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า มิได้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกันนั้น อาจเป็นที่เสียหายแก่จำเลยที่จะมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการขอออกโฉนดที่ดินพิพาทอีกได้ นอกจากนี้ การที่โจทก์ฟ้องขอให้ที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินงอก ต่อมาศาลวินิจฉัยว่า มิใช่ที่ดินงอกตามธรรมชาติ แต่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แล้วพิพากษายกฟ้อง ประเด็นที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว จึงเป็นคำพิพากษาที่กระทบกระเทือนสิทธิของจำเลยในที่ดินพิพาท จำเลยย่อมยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งได้ มิฉะนั้น จำเลยอาจเป็นฝ่ายแพ้คดีในที่สุด.
(แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๕๒/๒๕๖๓ ที่ ๓๘๐๓/๒๕๓๘ และที่ ๗๗๙/๒๕๕๕)
ผู้เขียน นายภาณุ อุทโยภาศ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นางปรานี เชาวลิต ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๖