ข้อสังเกตการขอกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด
สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ถูกยกเลิก และมีการออกกฎหมายใหม่ คือ ประมวลกฎหมายยาเสพติด มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๔ มีบางความผิดที่กฎหมายใหม่เป็นคุณมากกว่ากฎหมายเดิม ในการขอกำหนดโทษใหม่นั้นจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓ มี คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๔๘/๒๕๕๐ ตาม ป.อ. มาตรา ๓ บัญญัติว่า “ ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีคดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (๑) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษหรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” คำว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังนั้นหมายถึงโทษจำคุกขั้นสูงตามกฎหมายที่บัญญัติภายหลัง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ๒๐ ปี แต่โทษจำคุกตามคำพิพากษาก็ยังต่ำกว่าโทษขั้นสูงตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังที่วางโทษจำคุกตลอดชีวิต จึงถือไม่ได้ว่าโทษจำคุกตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษจำคุกตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ไม่ต้องด้วย ป.อ.มาตรา ๓(๑) ที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๗๕๔/๒๕๕๖ ความผิดฐานผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๖๕ วรรคสอง (เดิม) ต้องระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียว ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ จึงพิพากษาให้ประหารชีวิต แต่เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ ประกอบมาตรา ๕๒ (๒) คงจำคุก ๒๕ ปี เช่นนี้ต้องถือว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ กำหนดตามคำพิพากษาคือโทษประหารชีวิต มิใช่โทษจำคุก ๒๕ ปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว เมื่อปรากฏว่าระหว่างที่จำเลยกำลังรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้น ได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.๒๕๔๕ มาตรา ๘ และมาตรา ๙ ยกเลิกความในมาตรา ๑๕ และมาตรา ๖๕ แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ และให้ใช้ข้อความใหม่แทน ซึ่งเฮโรอีนที่จำเลยผลิตโดยการแบ่งบรรจุมีน้ำหนัก ๐.๓๐ กรัม เป็นที่เข้าใจว่าหากคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์คงไม่ถึง ๓ กรัม เมื่อจำเลยผลิตเฮโรอีนของกลางโดยการแบ่งบรรจุเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงต้องด้วยมาตรา ๖๕ วรรคสี่ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาท อันเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่ากฎหมายเดิม เมื่อโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ กำหนดคือโทษประหารชีวิต หนักกว่าโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาทตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ศาลต้องกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตาม ป.อ. มาตรา ๓ (๑) มิใช่ถือเอาโทษจำคุก ๒๕ ปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ลดโทษให้แล้วมาเป็นหลักในการเปรียบเทียบกับโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง
กรณียังมีข้อศึกษาเกี่ยวกับการขอกำหนดโทษใหม่อีกมาก ซึ่งต้องติดตามคำพิพากษาศาลฎีกาเพื่อเป็นแนว ทางในการศึกษาต่อไป.
ผู้เขียน นายบริพัตร์ โรจน์บัวทอง ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายอนุรักษ์ บุญนิธี ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖