คดียาเสพติดที่เข้าเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕

คดียาเสพติดที่เข้าเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕ 

ถึงที่สุดแล้วหรือยังอาจขออนุญาตฎีกาได้อีก

 

                    ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕ บัญญัติไว้ว่า 

                    “มาตรา ๒๔๕ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๔๖, ๒๔๗ และ ๒๔๘ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วให้บังคับคดีโดยไม่ชักช้า

                  ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน”

                   ต่อมาพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติเปลี่ยนระบบ   การฎีกาคดียาเสพติดจากเดิม ระบบสิทธิ เป็นระบบอนุญาต ทั้งนี้ตามมาตรา ๑๙ ซึ่งบัญญัติว่า

                   “มาตรา ๑๙ ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่งแล้ว คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้

                   เมื่อมีคำร้องขอตามวรรคหนึ่ง ศาลฎีกาอาจพิจารณารับฎีกาในปัญหาเรื่องหนึ่งเรื่องใด ไว้วินิจฉัยก็ได้ หากเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรจะได้วินิจฉัย

                   คดีที่ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกาไว้วินิจฉัย ให้เป็นที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ …”

                   จากกฎหมาย ๒ มาตราที่เกี่ยวข้องนี้ ส่งผลให้เกิดปัญหากรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจะสามารถขออนุญาตให้ฎีกาได้หรือไม่ ดังนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๔๒/๒๕๖๐ วินิจฉัยไว้ว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยจำคุกตลอดชีวิต จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕ วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวย่อมถึงที่สุด ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้ฎีกาของจำเลยขอให้ลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๐/๒ โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลฎีกา ก็หาก่อให้เกิดสิทธิในการยื่นฎีกาไม่ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย พิพากษายกฎีกาของจำเลย"

ดังนี้ จึงอาจสรุปได้ว่า คดีดังกล่าวแม้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาแล้ว ก็ไม่อาจทำให้คดีที่ถึงที่สุดแล้วกลับมามีสิทธิฎีกาได้อีก

 

ผู้เขียน  นางยุพาพรรณ์  กลั่นนุรักษ์  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ  นายชาติชาย  เหลืองอ่อน  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

 

 

 

 


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
แนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ตอนที่ 1)

ทำความรู้จัก "Incoterms 2020" ตอนที่ 1

แนวทางการปรับใช้หลักกฎหมายเรื่อง การเรียกค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่

“ข้อพิจารณาในการรอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ : ศึกษาเงื่อนไขประวัติการรับโทษจากคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อม ๑๙/๒๕๖๘”
ตัวการในคดีความผิดเกี่ยวกับป่าไม้