ในคดีแพ่งที่ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาและไม่รับฎีกาแล้ว หากคู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาไม่เห็นด้วยและโต้แย้งว่าคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาของศาลฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คู่ความฝ่ายนั้นจะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่งของศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้ฎีกาและไม่รับฎีกาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้หรือไม่
ปัจจุบันนี้ในคดีแพ่งหลังจากที่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่มีผลใช้บังคับกับคดีที่ยื่นฟ้องตั้งแต่วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เป็นต้นมา ทำให้การฎีกาในคดีแพ่งเปลี่ยนระบบจากเดิมคือระบบสิทธิเป็น “ระบบอนุญาต” การขออนุญาตฎีกาต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ถึงมาตรา ๒๕๒ และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ผู้ฎีกาต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกาต่อศาลฎีกา และผลของคำสั่งศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้ฎีกา ทำให้คดีย่อมเป็นอันถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสี่ จึงไม่มีคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา การที่ผู้ฎีกาที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกายื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอ้างว่าคำสั่งของศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้ฎีกาเป็นคำสั่งที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ จึงเป็นการยื่นคำร้องที่ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑๒ วรรคหนึ่ง เนื่องจากตามบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า การที่ศาลจะส่งคำร้องของผู้ฎีกาต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล เมื่อปรากฏว่าไม่มีคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาเพราะเหตุที่ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาและไม่รับฎีกาแล้วนั้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจส่งคำร้องของผู้ฎีกาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ ทั้งนี้ตามคำสั่งคำร้องที่ ท.๒๔๓/๒๕๖๔
ผู้เขียน นางอัญญรัตน์ รัตกิจนากร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นางปรานี เชาวลิต ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๖