คดียาเสพติด กรณีคู่ความฎีกาในประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

คดียาเสพติด คู่ความฎีกาในประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง หรือไม่

     

            คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้วถือว่าการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นที่สุด คู่ความอาจฎีกาโดยยื่นคำร้องพร้อมฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘ วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด และมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้” มีบางกรณีเป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติดแต่ประเด็นที่ฎีกาไม่ใช่ประเด็นเกี่ยวกับยาเสพติด คู่ความก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ .๒๕๕๐ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง เช่น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสาม(๒), ๖๖ วรรคสาม ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ต่อมาวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำเลยยื่นคำร้องขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยย่นระยะเวลาให้คดีถึงที่สุดวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยยื่นฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดนั้นจึงอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘ วรรคหนึ่งและมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยฎีกาโดยไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง” (ฎีกาที่ ๙๓๗๙/๒๕๕๗) จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลหักวันคุมขังก่อนมีคำพิพากษาออกจากโทษจำคุกให้แก่จำเลย แต่คำร้องของจำเลยเป็นผลสืบเนื่องมาจากคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗, ๙๑ คดีของจำเลยจึงเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อจำเลยยื่นฎีกาโดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง (ฎีกาที่ ๔๗๕๐/๒๕๖๒) จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องว่าการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาให้แก่จำเลยที่ ๓ และการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลยที่ ๓ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน  จำเลยที่ ๓ ยื่นฎีกา  แม้จำเลยที่ ๓ ร้องขอให้เพิกถอนการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่คำร้องขอเพิกถอนดังกล่าวของจำเลยที่ ๓ เป็นผลสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๓ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ คดีนี้จึงเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของพระราชวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ ด้วย เมื่อจำเลยที่ ๓ ฎีกาโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง  ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย (ฎีกาที่ ๔๓๒๕/๒๕๖๒) ประเด็นเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น

 

ผู้เขียน  นางสาวสุวรรณา  มีนะโยธิน  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ  นายชาติชาย  เหลืองอ่อน  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

 

                          

     


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่