คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด กรณีการขอออกหมายจับต่อศาลในข้อหาสมคบกันกระทำความผิดปัจจุบันต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการ ป.ป.ส. ก่อนหรือไม่
พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๔ มาตรา ๑๑/๗ บัญญัติว่า “การแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๕ หรือมาตรา ๑๒๗ แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือผู้ที่เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบยาเสพติดมอบหมาย เว้นแต่กรณีที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีแล้ว พนักงานอัยการเห็นควรแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๕ หรือมาตรา ๑๒๗ แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติดเพิ่มเติม ให้พนักงานอัยการเป็นผู้อนุมัติให้แจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีตามมาตรานี้ และเมื่อดำเนินการตามที่ได้รับอนุมัติแล้ว ให้พนักงานสอบสวนรายงานให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดทราบทันที .........”
พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๔ และประมวลกฎหมายยาเสพติด ทั้ง ๒ ฉบับเป็นกฎหมายยาเสพติดใหม่ที่บัญญัติกลับหลักการเดิมของพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปราบผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ (ปัจจุบันถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๔) ที่ว่าการขอออกหมายจับผู้ต้องหาต่อศาลในข้อหาสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น ไม่ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการ ป.ป.ส. ก่อนอีกต่อไป เพราะไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้เช่นเดียวกับกฎหมายเดิมคงมีแต่เฉพาะการแจ้งข้อหาในคดีสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดดังกล่าวแล้วเท่านั้นที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการ ป.ป.ส. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายก่อน ดังนั้น ในปัจจุบันการจับกุมผู้กระทำความผิดในข้อหาสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะกระทำความผิดในข้อหาสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ร้องสามารถขอให้ศาลออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยการออกหมายจับได้โดยไม่ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการ ป.ป.ส. ก่อนแล้วจึงขออนุมัติแจ้งข้อหาต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. ต่อไป เพราะถือว่าผ่านกระบวนการขอหมายจับจากศาลแล้ว ซึ่งเป็นอำนาจของเลขาธิการ ป.ป.ส. ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดียาเสพติด โดยมีกฎกระทรวงวางหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขไว้ว่า (๑) กรณีที่จับกุมผู้กระทำความผิดแล้ว ให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนยื่นคำขอพร้อมเอกสารพยานหลักฐานต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. โดยเร็ว (๒) กรณียังจับกุมตัวไม่ได้ แต่มีหมายจับของศาลในความผิดสนับสนุน ช่วยเหลือ หรือสมคบแล้ว ให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนยื่นคำขออนุมัติแจ้งข้อหาต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. โดยเร็ว ซึ่งกำหนดให้มีการแจ้งข้อหาได้แต่เฉพาะในชั้นพนักงานสอบสวน รวมถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการแล้ว เป็นอำนาจของพนักงานอัยการที่จะเป็นผู้อนุมัติแจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีความผิดดังกล่าวได้
ความแตกต่างระหว่างกฎหมายเดิมและกฎหมายใหม่
กฎหมายเดิม พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๔ บัญญัติว่า “การจับกุมหรือการแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๖ หรือมาตรา ๘ ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการก่อน และเมื่อดำเนินการตามที่ได้รับอนุมัติแล้ว ให้รายงานการจับกุมหรือแจ้งข้อหาให้เลขาธิการ ป.ป.ส. ทราบทันที .........
มาตรา ๖ ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
- สนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด
- จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่ หรือวัตถุใด ๆ เพื่อประโยชน์หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ
- จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ...... (๖)
มาตรา ๘ ผู้ใดสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามวรรคหนึ่ง ผู้สมคบกันนั้นต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”
กฎหมายใหม่ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๔ มาตรา ๑๑/๗ บัญญัติว่า “การแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๕ หรือมาตรา ๑๒๗ แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือผู้ที่เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบยาเสพติดมอบหมาย เว้นแต่กรณีที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีแล้ว พนักงานอัยการเห็นควรแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๕ หรือมาตรา ๑๒๗ แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติดเพิ่มเติม ให้พนักงานอัยการเป็นผู้อนุมัติให้แจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีตามมาตรานี้ และเมื่อดำเนินการตามที่ได้รับอนุมัติแล้ว ให้พนักงานสอบสวนรายงานให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดทราบทันที ........
ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา ๑๒๕ บัญญัติว่า “ในความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น (๑) สนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด
(๒) จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่ หรือวัตถุใด ๆ เพื่อประโยชน์หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ
(๓) จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ...... (๖)
มาตรา ๑๒๗ ผู้ใดสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินห้าแสนบาท
ถ้าได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามวรรคหนึ่ง ผู้สมคบกันนั้นต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ในกรณีที่การกระทำตามวรรคหนึ่งมีลักษณะเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ คำว่า “องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปที่รวมตัวกันช่วงระยะเวลาหนึ่งและร่วมกันกระทำการใด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น”
ข้อแตกต่างกฎหมายเดิมกับกฎหมายใหม่
กฎหมายเดิม มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้มีทั้งการจับกุมและการแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๖ หรือมาตรา ๘ ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการ ป.ป.ส. ก่อน
กฎหมายใหม่ มาตรา ๑๑/๗ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้มีเฉพาะการแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๕ หรือมาตรา ๑๒๗ แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการ ป.ป.ส.หรือผู้ที่เลขาธิการ ป.ป.ส. มอบหมาย และให้พนักงานอัยการ มีอำนาจอนุมัติให้แจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๕ หรือมาตรา ๑๒๗ แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติดเพิ่มเติมได้ หากเข้าเงื่อนไขกรณีที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีแล้ว และพนักงานอัยการเห็นควรแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดดังกล่าวให้พนักงานอัยการ อนุมัติให้แจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีตามมาตราดังกล่าวได้
แนวทางปฏิบัติตามกฎหมายเดิม
การจับกุม ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๖ หรือมาตรา ๘ ให้หัวหน้าชุดสืบสวนหรือหัวหน้าพนักงานสอบสวน ยื่นคำขออนุมัติจับกุมต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. เมื่อได้รับอนุมัติแล้วให้ผู้ขอยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป
ในกรณีผู้กระทำความผิดนั้นถูกจับกุมตามที่เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้อนุมัติแล้ว กฎหมายมิได้กำหนดให้พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการขออนุมัติแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดอีกแต่อย่างใด และถือว่าการที่เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้อนุมัติจับกุมแก่ผู้กระทำความผิดในการกระทำความผิดที่ได้รับอนุมัติให้จับกุมไปนั้นหมายความรวมถึงการอนุมัติให้แจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดด้วยในตัว และพนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจแจ้งข้อหาเพิ่มเติมหลังจากมีการสอบสวนโดยไม่จำต้องขออนุมัติแจ้งข้อหาอีกแต่อย่างใด
การแจ้งข้อหา ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๖ หรือมาตรา ๘ ให้หัวหน้าพนักงวานสอบสวน ยื่นคำขออนุมัติแจ้งข้อหาต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. ก่อน เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ให้พนักงานสอบสวน แจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดดังกล่าวและสรุปสำนวนทำความเห็นส่งพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดี
แนวทางปฏิบัติตามกฎหมายใหม่
การจับกุม ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๕ หรือมาตรา ๑๒๗ ให้หัวหน้าชุดสืบสวนหรือหัวหน้าพนักงานสอบสวน ยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อศาลออกหมายจับแล้ว ให้หัวหน้าพนักงานสอบสวน ยื่นคำขออนุมัติแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดดังกล่าวต่อเลขาธิการ ป.ป.ส.
การแจ้งข้อหา ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๒๕ หรือมาตรา ๑๒๗ ให้หัวหน้าพนักงานสอบสวน ยื่นคำขออนุมัติแจ้งข้อหาต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการแจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดฐานสนับสนุน ช่วยเหลือหรือสมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๕ เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ให้พนักงานสอบสวน แจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำความผิดดังกล่าวและสรุปสำนวนทำความเห็นส่งพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีต่อไป
ผู้เขียน นางทิพวรรณ หัตถะปนิตร์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายอนุรักษ์ บุญนิธี ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๖