บทความคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
คดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในเรื่องการนับโทษต่อในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 หรือไม่
ในปัญหานี้ ศาลฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๗๖/๒๕๖๔ ว่า “...จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในเรื่องการนับโทษต่อ แต่คำร้องของจำเลยที่ 1 เป็นผลสืบเนื่องมาจากคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมอยู่ด้วย คดีของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้จึงเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “...คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด” และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่งแล้ว คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้” ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาโดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจึงเป็นที่สุดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในส่วนความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย...”
ดังนี้ จึงสรุปได้ว่า คดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในเรื่องการนับโทษต่อในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 และหากจำเลยประสงค์จะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ก็ชอบที่จะยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้รับฎีกาไว้วินิจฉัยเสียก่อน จะยื่นฎีกาโดยตรงต่อศาลฎีกาทันทีเลยไม่ได้
ผู้เขียน นางจามจุรี คงสุวรรณ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายอนุรักษ์ บุญนิธี ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๖