สิทธิฎีกาในคดีละเมิดอำนาจศาล
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บัญญัติกรณีที่ถือว่าเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลไว้ในมาตรา ๓๑ และ ๓๒ และบัญญัติบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา ๓๓ ดังนี้
มาตรา ๓๑ ผู้ใดกระทำการอย่างใด ๆ ดังกล่าวต่อไปนี้ ให้ถือว่ากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
(๑) ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลตามมาตราก่อนอันว่าด้วยการรักษาความเรียบร้อย หรือประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
(๒) เมื่อได้มีคำร้องและได้รับอนุญาตจากศาลให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๑๕๖/๑ แล้ว ปรากฏว่าได้แสดงข้อเท็จจริงหรือเสนอพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาลในการไต่สวนคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
(๓) เมื่อรู้ว่าจะมีการส่งคำคู่ความหรือส่งเอกสารอื่น ๆ ถึงตน แล้วจงใจไปเสียให้พ้น หรือหาทางหลีกเลี่ยงที่จะไม่รับคำคู่ความหรือเอกสารนั้นโดยสถานอื่น
(๔) ตรวจเอกสารทั้งหมด หรือฉบับใดฉบับหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสำนวนความ หรือคัดเอาสำเนาเอกสารเหล่านั้นไปโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๕๔
(๕) ขัดขืนไม่มาศาล เมื่อศาลได้มีคำสั่งตามมาตรา ๑๙ หรือเมื่อมีหมายเรียกลูกหนี้ตาม
คำพิพากษาหรือบุคคลอื่นตามมาตรา ๒๗๗
มาตรา ๓๒ ผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ บรรณาธิการ หรือผู้พิมพ์โฆษณาซึ่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์อันออกโฆษณาต่อประชาชน ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะได้รู้ถึงซึ่งข้อความหรือการออกโฆษณาแห่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์เช่นว่านั้นหรือไม่ ให้ถือว่าได้กระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างดังจะกล่าวต่อไปนี้
(๑) ไม่ว่าเวลาใด ๆ ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์เช่นว่ามานั้นได้กล่าวหรือแสดงไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ ซึ่งข้อความหรือความเห็นอันเป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์อื่น ๆ แห่งคดี หรือกระบวนพิจารณาใด ๆ แห่งคดี ซึ่งเพื่อความเหมาะสมหรือเพื่อคุ้มครองสาธารณประโยชน์ ศาลได้มีคำสั่งห้ามการออกโฆษณาสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าโดยวิธีเพียงแต่สั่งให้พิจารณาโดยไม่เปิดเผยหรือโดยวิธีห้ามการออกโฆษณาโดยชัดแจ้ง
(๒) ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ ได้กล่าวหรือแสดงไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ ในระหว่างการพิจารณาแห่งคดีไปจนมีคำพิพากษาเป็นที่สุด ซึ่งข้อความหรือความเห็นโดยประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือศาลหรือเหนือคู่ความหรือเหนือพยานแห่งคดีซึ่งพอเห็นได้ว่าจะทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป เช่น
ก. เป็นการแสดงผิดจากข้อเท็จจริงแห่งคดี หรือ
ข. เป็นรายงานหรือย่อเรื่องหรือวิภาค ซึ่งกระบวนพิจารณาแห่งคดีอย่างไม่เป็นกลางและ
ไม่ถูกต้อง หรือ
ค. เป็นการวิภาคโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งการดำเนินคดีของคู่ความ หรือคำพยานหลักฐาน หรือนิสัยความประพฤติของคู่ความหรือพยาน รวมทั้งการแถลงข้อความอันเป็นการเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของคู่ความหรือพยาน แม้ถึงว่าข้อความเหล่านั้นจะเป็นความจริง หรือ
ง. เป็นการชักจูงให้เกิดมีคำพยานเท็จ
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ให้นำวิเคราะห์ศัพท์ทั้งปวงในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ มาใช้บังคับ
มาตรา ๓๓ ถ้าคู่ความฝ่ายใดหรือบุคคลใดกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลใด ให้ศาลนั้นมีอำนาจสั่งลงโทษโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือทั้งสองวิธีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(ก) ไล่ออกจากบริเวณศาล หรือ
(ข) ให้ลงโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
การไล่ออกจากบริเวณศาลนั้นให้กระทำได้ชั่วระยะเวลาที่ศาลนั่งพิจารณาหรือภายในระยะเวลาใด ๆ ก็ได้ตามที่ศาลเห็นสมควร เมื่อจำเป็นจะเรียกให้ตำรวจช่วยจัดการก็ได้
ในกรณีกำหนดโทษจำคุกและปรับนั้นให้จำคุกได้ไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
ในคดีละเมิดอำนาจศาล เมื่อคู่ความฝ่ายใดหรือบุคคลใดกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และถูกลงโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา ๓๓ (ข) ซึ่งถือเป็นโทษทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘ (๒) และ (๔) และคู่ความหรือบุคคลใดประสงค์จะยื่นฎีกาในคดีละเมิดอำนาจศาล จะต้องขออนุญาตฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่งหรืออยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่
ปัญหาการฎีกาในคดีละเมิดอำนาจศาลดังกล่าว มีคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.๖๑๔/๒๕๖๑ วินิจฉัยว่า“..ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ให้ลงโทษจำคุกคนละ ๓ เดือน และปรับคนละ ๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๑ ปี ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมกับฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล การฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ไม่อยู่ในบังคับที่คู่ความจะต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ จึงให้ยกคำร้อง ให้ศาลชั้นต้นตรวจสั่งฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ต่อไป”
และคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.๔๕๐/๒๕๖๓ วินิจฉัยว่า “...ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหามีกำหนด ๖ เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก ๓ เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ เดือน
ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกาพร้อมกับฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา ๓๑ และมาตรา ๓๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล แม้ว่ามาตรา ๓๓ กำหนดบทลงโทษให้จำคุกและปรับซึ่งเป็นโทษทางอาญาด้วยก็ตาม แต่บทบัญญัติในเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นบทบัญญัติพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญาทั่วไป จึงไม่อยู่ในบังคับข้อจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งมิใช่กรณีที่การฎีกาจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา จึงให้ยกคำร้องขออนุญาตฎีกา และให้รับฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป”
ดังนั้น ตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าว จะเห็นได้ว่า คดีละเมิดอำนาจศาลเป็นบทบัญญัติพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญาทั่วไป จึงไม่อยู่ในบังคับข้อจำกัดสิทธิในการฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และไม่ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉะนั้นคู่ความหรือบุคคลใดที่กระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลจึงสามารถยื่นฎีกาได้ โดยไม่ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๑ และไม่ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗.
ผู้เขียน นางกองแก้ว ว่องพิสุทธิพงศ์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา