คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งข้อหาความผิดต่อแผ่นดินและต่อส่วนตัว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษจำเลยเฉพาะข้อหาความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายสามารถถอนคำร้องทุกข์และคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่

คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งข้อหาความผิดต่อแผ่นดินและต่อส่วนตัว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ลงโทษจำเลยเฉพาะข้อหาความผิดต่อส่วนตัว และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายสามารถถอนคำร้องทุกข์และคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่

คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.๘๖  พ.ศ. ๒๕๖๖ (โดยย่อ)

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๒, ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๕ และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘, ๓๖๕ (๒) ประกอบมาตรา ๓๖๒, ๘๓ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำคุกและเพิ่มโทษ รวมจำคุก ๔ ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๑๒๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ ประกอบมาตรา ๘๓ เพิ่มโทษและลดโทษแล้วคงจำคุก ๘ เดือน ข้อหาอื่นให้ยก กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้เสียหาย จำเลยฎีกา ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้เสียหายยื่นคำร้องว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเจรจาปรับความเข้าใจกันแล้ว จำเลยสำนึกผิดและเยียวยาความเสียหายเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท จนผู้เสียหายพอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาแก่จำเลยอีกต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ และขอถอนคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนออกจากสารบบความศาล

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๕ ซึ่งความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๒) ประกอบมาตรา ๓๖๒ มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวก็ตาม แต่ความผิดฐานดังกล่าวยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ซึ่งพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และยกฟ้องโจทก์ในข้อหาร่วมกันบุกรุกดังกล่าว เมื่อจำเลยฎีกาฝ่ายเดียว ส่วนโจทก์ไม่ฎีกา คดีนี้จึงเป็นความผิดต่อส่วนตัวและยังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหายจึงมีสิทธิถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๖ วรรคหนึ่ง เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) มีผลให้คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองในคดีส่วนอาญาเป็นอันระงับสิ้นไป ส่วนคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้เสียหายจึงอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ วรรคสอง หากผู้เสียหายประสงค์จะถอนคำร้องดังกล่าวจักต้องยื่นคำร้องก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ผู้เสียหายจะขอถอนขณะคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาหาได้ไม่ แม้ผู้เสียหายแถลงว่าไม่ติดใจดำเนินคดีในส่วนแพ่งก็เป็นเรื่องในชั้นบังคับคดีที่ผู้เสียหายจะไม่ใช้สิทธิบังคับคดีแก่จำเลยต่อไป จึงให้ยกคำร้องในส่วนที่ขอให้ถอนคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และให้จำหน่ายคดีส่วนอาญาเสียจากสารบบความ 

 

บทสรุป แม้โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดต่อแผ่นดินและความผิดต่อส่วนตัว หากศาลตัดสินว่าจำเลยกระทำผิดในข้อหาความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น และยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงมากลับหรือแก้ ผู้เสียหายจึงมีสิทธิถอนคำร้องทุกข์ได้ก่อนคดีถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไป แต่ผู้เสียหายจะถอนคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ได้ เพราะคำร้องดังกล่าวถือเป็นคำฟ้อง จึงต้องถอนก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ดังนั้น ศาลฎีกาจึงอนุญาตให้ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ได้ แต่ต้องยกคำร้องในส่วนที่ขอให้ถอนคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ทั้งนี้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไป ศาลฎีกาจึงต้องจำหน่ายคดีส่วนอาญาออกจากสารบบความ

                   

ผู้เขียน  นางกองแก้ว ว่องพิสุทธิพงศ์  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ  นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

 


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่