จำเลยต้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้รับโทษจำคุกและไม่ได้ถูกคุมขัง ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาตกอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๘ วรรคสาม ต้องแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาล
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย โดยลงโทษจำคุกจำเลยรวม ๑๙ ปี และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม ๓๔๑,๙๗๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อไป ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุกจำเลย ๑๕ ปี ๖ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกา ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้อุทธรณ์ของจำเลยมิใช่อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิด แต่เป็นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาแก่จำเลยก็ตาม ก็ตกอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๘ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๓๒) พ.ศ.๒๕๕๙ ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้ว ในขณะที่จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ดังนี้ การที่จำเลยต้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้รับโทษจำคุกและไม่ได้ถูกคุมขังยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาโดยไม่ได้แสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาล จึงเป็นการไม่ชอบ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๖๒๓/๒๕๖๒
ผู้เขียน นายประเสริฐ ผดุงเกียรติวัฒนา ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา