คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องและมีคำขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อคดีอาญาขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจะเป็นอย่างไร

คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องและมีคำขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อคดีอาญาขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาย่อมไม่ต้องห้ามฎีกา จึงไม่ต้องขออนุญาตฎีกาในส่วนคดีแพ่ง

          คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัท ป. ถูกจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกลวงหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ เสนอขายที่ดินพร้อมอาคาร ๙ ชั้น  ที่พิพาทของบริษัท ป. ให้แก่จำเลยที่ ๔ ราคา ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากต้องการปิดโครงการ ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงแล้วนาย จ. ตกลงซื้อที่ดินพร้อมอาคารพิพาทราคา ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท  การหลอกลวงของจำเลยทั้งสี่ทำให้โจทก์หลงเชื่อลงลายมือชื่อร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๔ ราคา ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากนั้นได้เชิดให้จำเลยที่ ๔ ทำสัญญา  จะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้แก่นาย จ. ราคา ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาค้ำประกันความเสียหายแล้วจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ ร่วมกันลงข้อความเท็จในบัญชีหรือเอกสารของบริษัท ป. โดยมีจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นผู้สนับสนุนเพื่อลวงบริษัทดังกล่าว โจทก์และผู้ถือหุ้นคนอื่นทำให้บริษัทดังกล่าวขาดประโยชน์ที่ควรได้จากเงินที่จะได้รับจากนาย จ. ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แล้วจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเบียดบังเอาเงินดังกล่าวไปโดยทุจริต ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลย ทั้งสี่ให้การปฏิเสธและขอให้ยกฟ้องในส่วนแพ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ อนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ให้ลงลายมือขื่อในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๔ และบริษัท ป. ไม่มีนิติสัมพันธ์กับนาย จ. จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่นาย จ. นำมาชำระหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายให้แก่จำเลยที่ ๔ นอกจากนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ถึง ที่ ๔ ลงข้อความใดอันเป็นเท็จในบัญชีหรือเอกสารอย่างหนึ่งอย่างใดของบริษัทเพื่อลวงให้โจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัท ป. ขาดประโยชน์อันควรได้ จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ส่วนที่โจทก์ฎีกาในส่วนแพ่งให้ชดใช้ค่าเสียหายนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้คดีนี้ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาเองและไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในส่วนแพ่งก็ตาม แต่เมื่อคดีส่วนนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และคดีอาญาขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์จึงไม่จำต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในส่วนแพ่ง เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดตามฟ้อง จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๑๑/๒๕๖๖)

 

                     ผู้เขียน  นางสุรัชดา เตชะภาสรนันทน์  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ  นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๗

 


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่