สิทธิในการฎีกาคดีอาญาที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรคหนึ่ง ต้องพิจารณาเป็นรายกระทงหรือไม่
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๔ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๙/๗, ๘๖ การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ รวม ๘๓ กระทง จำคุกกระทงละ ๒ ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ ๑๖๖ ปี แต่ความผิดกระทงที่หนักสุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ (๓) กำหนดให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่ต้องไม่เกินกำหนดห้าสิบปี จึงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ ๕๐ ปี จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความกระทงที่หนักสุดมีอัตราโทษอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ (๒) จึงให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ ๒๐ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ ๓ ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงไม่รับ จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่คนละ ๒๐ ปี เกินกว่า ๕ ปี แต่การพิจารณาสิทธิฎีกาของคู่ความในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรคหนึ่ง นั้น จะต้องพิจารณาโทษที่ศาลล่างจำคุกแก่จำเลยที่ ๓ เป็นรายกระทงความผิดไป มิใช่นำโทษจำคุกทุกกระทงความผิดมารวมเข้าด้วยกันตามที่จำเลยที่ ๓ อ้าง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่แต่ละคนกระทงละไม่เกิน ๕ ปี คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติดังกล่าว ( ตามคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ๒๓๓/๒๕๕๗) นอกจากนี้แม้ความผิดตามคำฟ้องบางข้อกระทำลงในวันเดียวกัน มีข้อมูลเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันกับความผิดข้อหาอื่นที่ไม่ต้องห้ามฎีกาก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ในเวลาที่พิพากษาชี้ขาดฎีกาจำเลย ซึ่งเป็นคนละขั้นตอนกับการตรวจรับฎีกาอันเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นในการตรวจสั่งฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๓ ( ตามคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ๕๔๐/๒๕๖๕)
ผู้เขียน นายประเสริฐ ผดุงเกียรติวัฒนา รองเลขานุการศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๗