การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของบุคคลตามมาตรา ๑๐๒ (๑) และ (๙)

การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของบุคคลตามมาตรา ๑๐๒ (๑) และ (๙) 

ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ 

และการดำเนินคดี (ตอนที่ ๑)*

นิภาพัฒน์  วงศ์วัฒนะเดช**

  1. ความเบื้องต้น

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ กำหนดมาตรการในการป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ มิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ[1] ด้วยการบัญญัติหลักการในเรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไว้ในมาตรา ๒๓๔ (๓) กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) มีหน้าที่และอำนาจกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และเจ้าหน้าที่ของรัฐยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งตรวจสอบและเปิดเผยผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ หลักการในการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินยังบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ หมวด ๕ ส่วนที่ ๑ การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และการตรวจสอบ (มาตรา ๑๐๒ ถึง ๑๑๔) และหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าบุคคลเหล่านี้จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น ก็จะเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อวินิจฉัยต่อไป

ในตอนที่ ๑ นี้จะกล่าวถึงแนวคิดหรือทฤษฎี วัตถุประสงค์ของการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมในเบื้องต้น และจะกล่าวถึงผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๒(๑) และมาตรา ๑๐๒ (๙) และกำหนดเวลาที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อไป

 

  1. แนวคิดและทฤษฎีการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน

๒.๑ แนวคิดหลักนิติธรรม (The Rule of Law)

นักนิติศาสตร์ชาวอังกฤษ A.V. Dicey ได้กล่าวถึงสาระสำคัญของหลักนิติธรรมไว้ ๓ ประการ คือ (๑) การที่ฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจลงโทษบุคคลตามอำเภอใจ เว้นแต่ละเมิดกฎหมายโดยชัดแจ้ง และการพิจารณากระทำต่อหน้าศาล (๒) ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือกฎหมาย ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและศาลเดียวกัน (๓) หลักทั่วไปของกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นผลมาจากคำวินิจฉัยของศาลหรือกฎหมายธรรมดา มิได้เกิดขึ้นจากการรับรองเป็นพิเศษโดยรัฐธรรมนูญ[2]  หลักนิติธรรมในที่นี้จึงหมายถึงลักษณะที่ดีของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม กล่าวคือ กฎหมายที่ดีต้องมีความชัดเจน ไม่ขัดแย้งกันเอง มีเหตุผลนำไปสู่ความเป็นธรรม คุ้มครองสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิขั้นพื้นฐาน รองรับต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมต้องบัญญัติถึงกระบวนการและขั้นตอนไว้ชัดเจน ไม่มีผลย้อนหลังเป็นผลร้ายหรือกระทบต่อสิทธิหน้าที่หรือความรับผิดของบุคคล            มีบทลงโทษที่เหมาะสมและได้สัดส่วนความผิด มีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการนิติบัญญัติต้องเป็นที่เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้ กระบวนการยุติธรรมต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยสะดวก รวดเร็ว เสียค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต้องมีความเป็นอิสระ เป็นกลาง และมีความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งตามกฎหมายไทยมีการนำหลักนิติธรรมมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา ๓ วรรคสอง บัญญัติว่า "รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล    องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม" และมาตรา ๒๖ บัญญัติว่า “การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม...”

เมื่อพิจารณาถึงกระบวนการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในวันที่เข้ารับตำแหน่ง วันพ้นจากตำแหน่งหรือวันที่พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และทุกสามปีตลอดเวลาที่ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นย่อมอยู่ภายใต้หลักนิติธรรมเช่นเดียวกัน หรือแม้แต่กระบวนพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีอำนาจพิจารณาคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องขอให้ลงโทษผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ก็ต้องอยู่ภายใต้หลักนิติธรรมทั้งสิ้น หากมีกฎเกณฑ์ของกฎหมายออกมาใช้บังคับและมีการกระทำความผิดเรื่องเดียวกันต้องได้รับการพิจารณาและถูกลงโทษภายใต้กฎหมายเดียวกันโดยมาตรฐานอย่างเดียวกัน[3] 

          ๒.๒ ทฤษฎีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest Theory)

การขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม หรือความขัดแย้งในลักษณะที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งสาธารณะมีผลประโยชน์ส่วนตัวอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อิทธิพลทางการเมืองเข้าไปครอบงำ ทฤษฎีนี้ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดว่าหน่วยงานราชการมีภารกิจและหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว[4] ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่จากประชาชนต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน มิใช่มุ่งแสวงหาความร่ำรวยส่วนตัวหรือใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือแก่ผู้อื่น หลักการนี้มีการบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หมวด 6 การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ตั้งแต่มาตรา 126 ถึงมาตรา 129 หากกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติในหมวดนี้ ถือว่าเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

    ๓. การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน

๓.๑ วัตถุประสงค์ของการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน[5]

จากแนวคิดหลักนิติธรรม (The Rule of Law) และทฤษฎีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest Theory) ทำให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินได้หลายประการ ประการแรก เพื่อเป็นการแสดงความโปร่งใสของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าขณะดำรงตำแหน่งนั้นมิได้ใช้อำนาจหน้าที่ไปแสวงหาผลประโยชน์ทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร่ำรวยผิดปกติ  ประการที่สอง เพื่อป้องกันการทุจริตและคัดกรองบุคคลเข้าสู่ตำแหน่ง เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินเพื่อป้องกันมิให้มีการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินสูงกว่าความเป็นจริง และการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงเมื่อผู้ยื่นพ้นจากตำแหน่งก็เพื่อป้องกันมิให้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่ำกว่าความเป็นจริง และคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะทำหน้าที่คัดกรอง หากพบว่ามีการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ก็จะเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย  ประการที่สาม เพื่อเป็นมาตรการในการปราบปรามการทุจริตโดยใช้มาตรการทางกฎหมาย เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงที่กระทำความผิดอาจเป็นผู้มีอิทธิพล มีศักยภาพในการหลบหนี บางครั้งยากที่จะติดตามตัวมาลงโทษ การตรวจสอบทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวจึงเป็นมาตรการเสริมในการปรามปรามการทุจริตประการหนึ่ง และประการสุดท้าย เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าบุคคลดังกล่าวใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจหรือกิจกรรมที่ตนมีผลประโยชน์หรือไม่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทำให้ตนมีฐานะร่ำรวยผิดปกติหรือไม่

          ๓.๒  กฎหมายกำหนดให้บุคคลตามที่บัญญัติไว้ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน

      ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะบุคคลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๐๒ (๑) และ (๙) คือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ว่ามีตำแหน่งใดบ้าง สำหรับคู่สมรสนั้นตามมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง ให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่จดทะเบียนสมรสด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด 

       ในมาตรา ๔ กำหนดบทนิยามที่เกี่ยวข้องไว้ ดังนี้ 

       “เจ้าพนักงานของรัฐ” หมายความว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.

       “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายความว่า ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐหรือในรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่ หรือเจ้าพนักงานอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ และให้หมายความรวมถึงกรรมการอนุกรรมการ ลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ และบุคคลหรือคณะบุคคลบรรดาซึ่งมีกฎหมายกําหนดให้ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองที่จัดตั้งขึ้นในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐด้วย แต่ไม่รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ   ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.

       “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” หมายความว่า

        (๑) นายกรัฐมนตรี

        (๒) รัฐมนตรี

        (๓) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

        (๔) สมาชิกวุฒิสภา

        (๕) ข้าราชการการเมืองอื่นนอกจาก (๑) และ (๒) ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง

        (๖) ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา

       ส่วนมาตรา ๑๐๒ (๙) ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด นั้น ตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๒ (๙) พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ มาตรา ๒๘ (๓) ประกอบมาตรา ๑๐๒ (๙) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. 

  1. กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร
  2. เมืองพัทยา ได้แก่ นายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา ประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา และเลขานุการนายกเมืองพัทยา และสมาชิกสภาเมืองพัทยา
  3. องค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด
  4. เทศบาลนคร ได้แก่ นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี ที่ปรึกษาและเลขานุการนายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาเทศบาล
  5. เทศบาลเมือง ได้แก่ นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาเทศบาล
  6. เทศบาลตำบล ได้แก่ นายกเทศมนตรี และรองนายกเทศมนตรี
  7. องค์การบริการส่วนตำบล ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล และรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล

 

  1. กำหนดเวลาที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน

ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๐๕ กำหนดระยะเวลาให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวัน และในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ให้ยื่นเมื่อเข้ารับตำแหน่งและเมื่อพ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้หากบุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเดิมหรือตำแหน่งใหม่ภายใน ๑ เดือน ผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีเข้าดำรงตำแหน่งใหม่ แต่ไม่ต้องห้ามที่ผู้นั้นจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐาน และในกรณีที่บุคคลนั้นถ้าเจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่นใดที่มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วย เจ้าพนักงานของรัฐผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินใหม่ แต่ไม่ต้องห้ามที่ผู้นั้นจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐาน

  1. บทสรุป

การกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๐๒ (๑) และมาตรา ๑๐๒ (๙) มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เป็นเพียงมาตรการทางกฎหมายประการหนึ่งในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และเป็นการตรวจสอบให้ผู้ที่จะเข้ามาสู่ระบบการเมืองต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต และคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง ในส่วนของการดำเนินคดีเกี่ยวกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด รวมทั้งหลักกฎหมายที่น่าสนใจ ผู้เขียนจะได้นำเสนอในตอนที่ ๒ ซึ่งผู้อ่านสามารถติดตามต่อได้ในบทความฉบับหน้า

 

แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เมษายน ๒๕๖๗


 

*ความเห็นทั้งหมดในบทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนและมิได้สะท้อนความเห็นใด ๆ ในส่วนราชการที่ผู้เขียนสังกัดอยู่

**ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ปฏิบัติหน้าที่ในแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา

[1] บุญสงค์ ทองอินทร. บทความ เรื่อง “บทวิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ : ความสำคัญและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หมวดบททั่วไป และหมวดพระมหากษัตริย์”

[2]Albert Venn Dicey, Introduction to the Study of the Law of the Constitution, ed. Roger E. Michener (Indianapolis: Liberty Fund 1982). (online: https://oll.libertyfund.org/titles/michener-introduction-to-the-study-of-the-law-of-the-constitution-lf-ed)

[3] ภีรภัทร  ด่านธีระภากุล. (ม.ป.ป.). หลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลกับสังคมประชาธิปไตย (Rule of Law and Good Governance in Democratic Society). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://web.krisdika.go.th/pdfPage.jsp?type=act&actCode=13764.

[4] สถาบันวิทยาลัยชุมชน. (๒๕๖๒). คู่มือการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม. กรุงเทพฯ: สถาบันวิทยาลัยชุมชน. หน้า ๕-๖.

[5] วรวิทย์ สุขบุญ, ม.ป.ป. การตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ. นนทบุรี: สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, หน้า ๑-๒ อ้างถึงใน วันวิสาข์ สัมพันธ์, ๒๕๖๒. “การกำหนดตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ.” (การศึกษาค้นคว้าอิสระปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต สาชาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช), หน้า ๒๕-๒๖


เผยแพร่โดย

แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่