คำฟ้องคดีอาญาหากศาลชั้นต้นประทับฟ้องโดยไม่ปรากฏลายมือชื่อโจทก์ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา มีอำนาจสั่งให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้องได้หรือไม่
คำฟ้องในคดีอาญาจะต้องทำเป็นหนังสือและมีรายการครบถ้วนตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (1) ถึง (7) ซึ่ง (7) ลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง และมาตรา 161 แห่งประมวลวิธีพิจารณาความอาญา บัญญัติว่า ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง หรือยกฟ้องหรือไม่ประทับฟ้อง
คำฟ้องคดีอาญาซึ่งโจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจโจทก์มิได้ลงชื่อในคำฟ้องเป็นคำฟ้องไม่ชอบด้วยมาตรา 158 (7) นั้น หากศาลชั้นต้นตรวจพบ ก็สามารถจะใช้อำนาจตามมาตรา 161 สั่งให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่ถ้าศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องและสืบพยานโจทก์แล้วยังเหลืออีกปากเดียว จึงรู้ว่าโจทก์มิได้ลงชื่อในฟ้อง ดังนี้ การที่จะกลับสั่งไม่ประทับฟ้อง หรือให้โจทก์แก้ฟ้องโดยให้โจทก์ลงชื่อในฟ้อง ย่อมล่วงเลยเวลาที่ควรปฏิบัติได้เสียแล้ว มีทางเดียวตามมาตรา 161 คือ ยกฟ้อง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2492) หรือหากศาลชั้นได้มีคำพิพากษาจนคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้ว ศาลสูงมีทางทำได้ทางเดียวคือยกฟ้อง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2490, 228/2511, 1564/2546, 5918/2549, 1450/2553, 869/2554 และ 3072/2559)
ต่อมาหลักการดังกล่าวมีแนววินิจฉัยใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2566 โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 บัญญัติว่า “ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือและมี... (7) ลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง” และมาตรา 161 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง หรือยกฟ้อง หรือไม่ประทับฟ้อง" ซึ่งคำว่า "ฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย..." ตามที่บัญญัติในมาตรา ๑๖๑ วรรคหนึ่ง นั้น หมายถึง กรณีที่ศาลตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าคำฟ้องที่ยื่นนั้น โจทก์กระทำไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยเขตอำนาจศาลที่ยื่นฟ้องตามมาตรา ๑๕๗ หรือกระทำไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๘ (๑) ถึง (๗) มาตรา ๑๕๙ และมาตรา ๑๖๐ หากผลการตรวจคำฟ้องปรากฏว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังกล่าว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1๖๑ วรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อตามฟ้องโจทก์ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียงและผู้พิมพ์แล้ว แต่ไม่ปรากฏลายมือชื่อโจทก์ อันเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๗) ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ที่ศาลสามารถสั่งให้แก้ไขได้ การที่ศาลชั้นต้นรับฟ้องโดยไม่มีลายมือชื่อโจทก์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๗) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา 3 และมิได้มีคำสั่งให้โจทก์ลงลายมือชื่อในฟ้องให้ถูกต้องเสียก่อน จึงเป็นข้อผิดพลาดที่สามารถให้แก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์โดยจำเลยที่ ๑ ยื่นคำแถลงประกอบอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒
ยื่นคำแก้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนพบข้อผิดพลาดของโจทก์และศาลชั้นต้นดังกล่าว โดยศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีแล้ว ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๑ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องได้ โดยมิได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดไว้ เช่นนี้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะให้ศาลชั้นต้นสั่งโจทก์แก้ไขฟ้องโดยให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้องให้ถูกต้องได้ การที่ศาลอุทธรณ์ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้โจทก์แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเสร็จแล้วให้ส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์เพื่อดำเนินการต่อไป จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๑ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๒๑๕ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓ แล้ว (อ้างอิงคำอธิบายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 2 ภาค 3 – 4 (มาตรา 158 - 245) โดยนายธานิศ เกศวพิทักษ์, คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2566 เล่ม 4)
ผู้เขียน นางทิพวรรณ หัตถะปนิตร์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๗