คำพิพากษาศาลฎีกาแก้ในเรื่องการคืนหรือใช้เงินให้มีผลถึงจำเลยที่ไม่ได้ยื่นฎีกาและถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาชอบหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาพิพากษาแก้ในเรื่องการคืนหรือใช้เงินให้มีผลถึงจำเลยที่ไม่ได้ยื่นฎีกาและถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาชอบหรือไม่ 

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๕ ถึงที่ ๑๐ ที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๒๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๓ จำคุกคนละ ๓ ปี ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๕ ถึงที่ ๑๐ ที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๒๑ คืนหรือใช้เงิน ๑๐,๔๖๓,๗๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายทั้ง ๔๖ คน ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๑๑ ที่ ๑๘ ที่ ๑๙ และที่ ๒๐ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๕ ถึงที่ ๑๐ ที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๒๑ อุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๔ จำเลยที่ ๑๔ ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑๔ ออกจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๗ และยกคำขอโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ ๖ ชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายทั้ง ๔๖ คนร่วมกับจำเลยคนอื่น ๆ ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกให้จำเลยที่ ๖ ร่วมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นตั้งแต่จำเลยที่ ๖ เริ่มเข้าร่วมเป็นตัวการกระทำความผิดตั้งแต่ปลายปี ๒๕๓๙ เป็นคดีใหม่ถายในอายุความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ ๑ ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๕ ที่ ๘ ถึงที่ ๑๐ ที่ ๑๕ และที่ ๒๑ ร่วมกันคืนหรือใช้เงิน ๑๐,๐๔๗,๑๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายที่ ๑ ถึงที่ ๓๘ และร่วมกันคืนหรือใช้เงิน ๑๐,๔๖๓,๗๐๐๐ บาท แก่ผู้เสีหยายที่ ๓๙ ถึงที่ ๔๖ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ผู้เสียหายที่ ๑ ยื่นคำร้องขอออกคำบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกคำบังคับจำเลยที่ ๑ ที่ ๕ ที่ ๙ ที่ ๑๐ ที่ ๑๕ และที่ ๒๑ ส่วนจำเลยที่ ๘ ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณามีคำสั่งว่า ปรากฏหลักฐานเบื้องต้นว่าจำเลยที่ ๘ ถึงแก่ความตาย กรณีจึงไม่อาจออกคำบังคับให้ได้ ต่อมาศาลชั้นต้นไต่สวนการตายของจำเลยที่ ๘ แล้ว มีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ ๘ ถึงแก่ความตายก่อนที่ศาลชั้นต้นจะอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนของจำเลยที่ ๘ จึงไม่ถูกต้อง เห็นควรให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาและให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๘ ผู้มรณะ 

ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นฎีกามีเพียงจำเลยที่ ๑ ที่ฎีกา คดีในส่วนของจำเลยที่ ๘ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ แล้ว แม้ต่อมาจำเลยที่ ๘ ถึงแก่ความตายก่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ก็ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีของศาลฎีกา ส่วนที่ศาลฎีกาพิพากษาแก้ในเรื่องการคืนหรือใช้เงินซึ่งมีผลถึงจำเลยที่ ๘ ด้วยนั้น ก็เป็นเพียงผลของกฎหมายเท่านั้น มิได้เกิดจากการฎีกาของจำเลยที่ ๘ แต่อย่างใด ดังนั้น การอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกามีคำสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยที่ ๘ จึงให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว. (คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.๓๐/๒๕๖๖)

 

ผู้เขียน  นายประเสริฐ ผดุงเกียรติวัฒนา  ผู้พิพากษาหัวหน้ศาลประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ  นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
ตัวการในคดีความผิดเกี่ยวกับป่าไม้

ปกิณกะกฎหมายแรงงาน Right to Freedom of Association

การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่
กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่