การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยแล้วดำเนินการออกหมายจับจำเลยที่หลบหนีเพื่อนำตัวมาบังคับคดีตามคำพิพากษาถึงที่สุด หาได้ทำให้คดียังไม่ถึงที่สุดไม่ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์หลังคดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่มีผลตามกฎหมาย
คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ จำคุก ๖ เดือน และออกหมายจับจำเลยในวันเดียวกัน เพื่อให้ได้ตัวจำเลยมาปฏิบัติตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ ผู้เสียหายยื่นคำร้องว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยหมดแล้ว ไม่ประสงค์ดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป ขอให้ศาลเพิกถอนหมายจับจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าตามคำร้องของผู้เสียหายประสงค์ขอถอนคำร้องทุกข์ แต่คดีนี้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจถอนคำร้องทุกข์ได้ ให้ยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า คดีอยู่ระหว่างติดตามจับกุมจำเลยมารับโทษตามคำพิพากษา อีกทั้งศาลยังไม่ได้ออกหมายจำคุก จำเลยยังมิได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษา คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐ จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ภายในวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๐ แต่จำเลยไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ย่อมถือว่าคดีถึงที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ส่วนการที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้ออกหมายจำคุกจำเลยตามคำพิพากษา
ก็เป็นเพราะจำเลยหลบหนี ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับจำเลยเพื่อติดตามจับกุมตัวจำเลยมารับโทษ
ตามคำพิพากษา อันเป็นขั้นตอนในการบังคับคดีตามคำพิพากษา กรณีหาทำให้คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุดไม่
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ไม่มีบทบัญญัติมาตราใดในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมทั้งมาตรา ๓๙ (๒) ที่บัญญัติระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายไว้นั้น เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่มีบทบัญญัติมาตราใดที่บัญญัติระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายไว้ก็ตาม แต่มาตรา ๑๒๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ร้องทุกข์...จะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้” ซึ่งผลของการถอนคำร้องทุกข์ในคดีความผิดต่อส่วนตัวย่อมทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามมาตรา ๓๙ (๒) ศาลจึงต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ อันมีผลทำให้ไม่มีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาล ดังนี้ เมื่อคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว กรณีย่อมไม่มีคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล การขอถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายภายหลังเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจึงไม่มีผลตามกฎหมาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๓/๒๕๖๕)
ผู้เขียน นางสุรัชดา เตชะภาสรนันทน์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายสมศักย์ ธรรมชัยเดชา ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๘