อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 มาตรา 25

บทความ

กรณีจำเลยเป็นผู้เสพเมทแอมเฟตามีนได้ไปบำบัดที่โรงพยาบาลไม่ครบถ้วนตามกำหนดเวลาและไม่ไปรายงานตัวตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด จนเวลาล่วงพ้น ๕ ปี ๙ เดือน นับแต่วันที่จำเลยเข้ารับการฟื้นฟูจนถึงวันที่พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องคดีแล้ว จะถือว่าเป็นการพ้นกำหนดระยะเวลาการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่ต้องไม่เกิน ๓ ปี นับแต่วันถูกส่งตัวเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๕ วรรคสี่ และทำให้พนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้หรือไม่

          ตามปัญหาดังกล่าว พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๕ มาตรา ๒๕ วรรคสี่ บัญญัติว่า “การขยายและการลดระยะเวลาการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจะกระทำกี่ครั้งก็ได้ แต่การขยายระยะเวลาการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดครั้งหนึ่งต้องไม่เกินหกเดือน และรวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกินสามปีนับแต่วันถูกส่งตัวเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด”               เป็นบทบัญญัติที่กำหนดระยะเวลาให้การดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูต้องไม่เกิน ๓ ปี นับแต่วันที่จำเลยถูกส่งตัวเข้ารับการฟื้นฟูนั้น หมายถึงระยะเวลาที่ผู้ติดยาเสพติดนั้นเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติด      ยาเสพติดตามความเป็นจริงเท่านั้น มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ติดยาเสพติดหลบหนีมิได้ปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูเข้าในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวด้วย เมื่อจำเลยเข้ารับการฟื้นฟูยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด จึงไม่อาจนำบทบัญญัติข้างต้นมาปรับแก่คดีได้ พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๖๑/๒๕๖๒)

 

                                                                          

ผูัเขียน นายโชคชัย รัตกิจนากร  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ผู้ตรวจ นายอนุรักษ์ บุญนิธี  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


เผยแพร่โดย

แผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกา

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่