หลักการสำคัญในการพิจารณาและพิพากษาคดีครอบครัว คือ ไม่ว่าการพิจารณาคดีจะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด ให้ศาลพยายามเปรียบเทียบให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมกันในข้อพิพาทโดยคำนึงถึงความสงบสุขและการอยู่ร่วมกันในครอบครัว
พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๖ กำหนดหลักการสำคัญในการพิจารณาและพิพากษาคดีครอบครัวไว้ว่า ไม่ว่าการพิจารณาคดีจะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด ให้ศาลพยายามเปรียบเทียบให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมกันในข้อพิพาทโดยคำนึงถึงความสงบสุขและการอยู่ร่วมกันในครอบครัว เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องอ้างว่า ข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์แห่งคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความเปลี่ยนแปลงไปโดยพฤติกรรมของผู้คัดค้านที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ซึ่งผู้คัดค้านมิได้โต้แย้งว่ามิได้กระทำการดังกล่าว คงโต้แย้งเพียงว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้นอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งถึงที่สุดได้เท่านั้น จึงเป็นกรณีเกิดข้อพิพาทขึ้นใหม่นอกจากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว และเกิดขึ้นภายหลังมีคำพิพากษาตามยอมไปแล้ว การที่ศาลชั้นต้นไต่สวน นัดพิจารณา ตลอดจนมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพและอนาคตของบุตรเป็นสำคัญ จึงไม่อาจถือว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาตามยอมซึ่งถึงที่สุดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๑๗/๒๕๕๗
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า ผู้ร้องกับผู้คัดค้านอยู่กินกันฉันสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสที่กรุงเทพมหานครตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ และมีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือ เด็กหญิง ร. ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ระหว่างตั้งครรภ์เด็กหญิง ร. ประมาณ ๖ เดือน ผู้ร้องกับผู้คัดค้านมีเหตุบาดหมางกันเกี่ยวกับเรื่องญาติผู้ใหญ่ ผู้คัดค้านจึงกลับไปอยู่ที่จังหวัดชุมพรแล้วคลอดเด็กหญิง ร. ที่โรงพยาบาลทักษิณ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นผู้คัดค้านเลี้ยงดูเด็กหญิง ร. ที่จังหวัดชุมพรโดยไม่ได้กลับมาอยู่กินกับผู้ร้องที่กรุงเทพมหานครอีก หลังจากมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ ผู้ร้องไปจดทะเบียนรับรองเด็กหญิง ร. เป็นบุตรเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ต่อมาวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ผู้ร้องไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่สถานีตำรวจภูธรเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นหลักฐานว่าวันดังกล่าวผู้ร้องพร้อมบิดามารดาของผู้ร้องไปขอเยี่ยมเด็กหญิง ร. แต่ผู้คัดค้านปฏิเสธเช่นหลายครั้งที่ผ่านมาและห้ามเข้าบ้านกับไม่อนุญาตให้ผู้ร้องพาเด็กหญิง ร. ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน การกระทำของผู้คัดค้านเป็นการขัดขวางการทำหน้าที่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง หลังจากนั้นผู้ร้องมายื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ต่อศาลชั้นต้น อ้างว่าผู้คัดค้านมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้คัดค้านมีเจตนาที่จะกีดกันขัดขวางมิให้ผู้ร้องติดต่อกับบุตร ต่อมาผู้ร้องกับผู้คัดค้านตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในส่วนที่ตกลงกันไม่ได้ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิเยี่ยมและพา เด็กหญิง ร. ไปพักค้างคืนนอกเหนือจากสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้วได้ตามคำสั่งศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กับวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๖ กำหนดหลักการสำคัญในการพิจารณาและพิพากษาคดีครอบครัวไว้ว่า การพิจารณาพิพากษาคดีครอบครัวนั้นไม่ว่าการพิจารณาคดีจะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด ให้ศาลพยายามเปรียบเทียมให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมกันในข้อพิพาทโดยคำนึงถึงความสงบสุขและการอยู่รวมกันในครอบครัว เพื่อการนี้บทบัญญัติดังกล่าวยังกำหนดให้ศาลคำนึงถึงหลักการดังต่อไปนี้เพื่อประกอบดุลยพินิจด้วย กล่าวคือ (๑) การสงวนและคุ้มครองสถานภาพของการสมรสในฐานะที่เป็นศูนย์รวมของชายและหญิงที่สมัครใจเข้ามาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา หากไม่อาจรักษาสถานภาพของการสมรสได้ก็ให้การหย่าเป็นไปด้วยความเป็นธรรมและเสียหายน้อยที่สุดโดยคำนึงถึงสวัสดิภาพและอนาคตของบุตรเป็นสำคัญ (๒) การคุ้มครองและช่วยเหลือครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ครอบครัวนั้นต้องรับผิดชอบในการดูแลให้การศึกษาแก่บุตรที่เป็นผู้เยาว์ (๓) การคุ้มครองสิทธิของบุตรและส่งเสริมสวัสดิภาพของบุตร และ (๔) หามาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือสามีภริยาให้ปรองดองกันและปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกันเองและบุตร จากบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ศาลมีหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีครอบครัวไม่ว่าจะดำเนินไปเพียงใด ย่อมมีอำนาจที่จะเปรียบเทียบให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมกันในข้อพิพาทได้ โดยมุ่งเน้นความสงบสุขครอบครัวและสวัสดิภาพและอนาคตของบุตรเป็นสำคัญ เมื่อพิจารณาตามคำร้องของผู้ร้องฉบับลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ แล้ว ล้วนเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ทั้งผู้คัดค้านก็มิได้โต้แย้งว่าผู้คัดค้านมิได้กระทำการดังกล่าว คงโต้แย้งแต่เพียงว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้นอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งถึงที่สุดได้เท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์กีดกันขัดขวางมิให้ผู้ร้องได้พบและเยี่ยมเยียนเด็กหญิง ร. หรือ ม. เมื่อข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์แห่งคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวในข้อ ๓ เปลี่ยนแปลงไป จึงเกิดเป็นข้อพิพาทขึ้นใหม่นอกเหนือจากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว และเกิดขึ้นภายหลังดังที่วินิจฉัยข้างต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจนัดไต่สวน นัดพิจารณา ตลอดจนมีคำสั่งตามคำร้องขอของผู้ร้อง และเมื่อพิจารณาคำสั่งของศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ และฉบับลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพและอนาคตของบุตรเป็นสำคัญแล้ว เห็นว่ามาตรการที่ศาลชั้นต้นกำหนดตามรายงานกระบวนพิจารณาทั้งสองฉบับว่าเหมาะสมในการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมสวัสดิภาพของบุตรแล้ว กรณีไม่ถือว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาตามยอมซึ่งถึงที่สุดแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาทั้งสองฉบับนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ และฉบับลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา
ตุลาคม ๒๕๖๔