ศาลสูงวินิจฉัยประเด็นปัญหาไม่ครบ
คดีที่ขึ้นมาสู่การพิจารณาในชั้นอุทธรณ์หรือในชั้นฎีกานั้น บางครั้งในคำพิพากษาของศาลสูงอาจเลือกที่จะวินิจฉัยประเด็นปัญหาที่คู่ความอุทธรณ์ฎีกาเฉพาะบางประเด็น ไม่ครบถ้วนทุกข้อ เช่น คดีขับไล่เรื่องหนึ่ง จำเลยอุทธรณ์ในเรื่องว่าตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และอุทธรณ์ทั้งในเรื่องฟ้องซ้อน ฟ้องเคลือบคลุม และอายุความ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่เพียงเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่มีคำวินิจฉัยประเด็นเรื่องฟ้องซ้อน ฟ้องเคลือบคลุม และอายุความ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า หากศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวแล้ว จำเลยอาจจะชนะคดีก็ได้ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมหรือไม่
กรณีนี้หากพิจารณาบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ที่บัญญัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามอนุมาตรา (๑) ถึง (๖) นั้น เป็นการกำหนดขอบเขตของการวินิจฉัยชี้ขาดคดีของศาล ซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยตามประเด็นปัญหาที่เป็นข้อพิพาทและห้ามมิให้พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องหรือคำขอท้ายฟ้อง แต่มิได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลจำต้องวินิจฉัยประเด็นปัญหาทั้งหมด หากศาลเห็นว่าประเด็นปัญหาใดแม้วินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปก็อาจใช้ดุลพินิจไม่วินิจฉัยในประเด็นปัญหาดังกล่าวได้ เท่ากับประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์เหล่านี้ได้มีการวินิจฉัยมาแล้วโดยชอบ ไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก หรือประเด็นอื่น ๆ ที่จำเลยอุทธรณ์อย่างไรเสียก็รับฟังไม่ได้ (แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๘๓๓/๒๕๖๑)
ผู้เขียน นายภาณุ อุทโยภาศ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายเอื้อน ขุนแก้ว ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา