โจทก์มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการจัดการสินสมรสที่สามีโจทก์เป็นผู้ทำ แต่สามีโจทก์ถึงแก่ความตายไปก่อนโดยไม่จำต้องฟ้องทายาทโดยธรรมหรือผู้จัดการมรดกของสามีโจทก์เข้ามาด้วย

วันที่เผยแพร่
30/12/2564

          การที่โจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและจดทะเบียนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เป็นผู้ทำนิติกรรมดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ และขณะยื่นฟ้องสามีของโจทก์ถึงแก่ความตายไปแล้วแต่โจทก์ไม่ฟ้องทายาทโดยธรรมหรือผู้จัดการมรดกของสามีของโจทก์เข้ามาด้วย โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ในการจัดการสินสมรสของสามีภริยา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖(๑) บัญญัติให้สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง และหากสามีหรือภริยาจัดการสินสมรสไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘๐ บัญญัติให้อำนาจคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมในกรณีนี้เป็นเพียงการขอให้เพิกถอนการจัดการสินสมรสที่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งจัดการไปโดยปราศจากอำนาจเพื่อให้ทรัพย์สินนั้นกลับคืนมาเป็นสินสมรสตามเดิม ทั้งยังเป็นการดำเนินคดีเกี่ยวกับการสงวนรักษาสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๗ ซึ่งบัญญัติให้สามีภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิทำได้ ดังนั้น แม้โจทก์มิได้ฟ้องทายาทโดยธรรมหรือผู้จัดการมรดกของสามีโจทก์ที่ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ ๑ เข้ามาเป็นจำเลยด้วย ก็หาทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีดังที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาไม่

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๙๓/๒๕๖๔ 

          โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์กับสามีเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย สามีโจทก์ทำนิติกรรมโอนขายที่ดิน ๒ แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นสินสมรสให้จำเลยที่ ๑ ในวันเดียวกัน จำเลยที่ ๑ จำนองที่ดิน ๒ แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๑ รู้ว่าสามีโจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ จำเลยที่ ๒ กระทำการโดยไม่สุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ปัจจุบันสามีโจทก์ถึงแก่ความตายแล้ว ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างสามีโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และเพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒

          จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขณะทำนิติกรรมสามีโจทก์และบุตรโจทก์จำเลยได้ลงชื่อเป็นพยานในการรับเงินและยืนยันกับจำเลยที่ ๑ ว่า โจทก์ไม่ขัดข้องและให้ความยินยอมในการขายที่ดิน จำเลยที่ ๑ เข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ๒ ปี โดยโจทก์ไม่คัดค้าน ถือว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมและให้สัตยาบัน โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า ๑ ปี นับแต่รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการขายที่ดิน คดีโจทก์ขาดอายุความ ทั้งโจทก์ไม่ได้ฟ้องทายาทโดยธรรมของสามีโจทก์เข้ามาในคดีด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง 

          จำเลยที่ ๒ ให้การว่า สามีโจทก์นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินพิพาทไปใช้ประโยชน์ในครอบครัวหรือจัดการสินสมรส โจทก์ทราบดีและให้ความยินยอมหรือให้สัตยาบันแก่คนทำนิติกรรมดังกล่าว ทั้งไม่เคยโต้แย้งหรือฟ้องขับไล่จำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต คดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์มิได้ฟ้องเรียกผู้จัดการมรดกหรือทายาทของสามีโจทก์เข้ามาในคดีด้วย จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และจำเลย พิพากษายกฟ้องแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่ภายในอายุความ

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี 

          จำเลยที่ ๑ ฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

          ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องทายาทโดยธรรมหรือผู้จัดการมรดกของสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ผู้ทำนิติกรรมขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอันเป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่ ๑ ศาลจึงไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวตามคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์อันเป็นการกระทบสิทธิของบุคคลภายนอกนั้น เห็นว่า สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์จดทะเบียนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รู้อยู่แล้วว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นสินสมรสจึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและมีคำขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างระหว่างสามีโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ อันเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ในการจัดการสินสมรสของสามีภริยาซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖(๑) บัญญัติให้สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง และหากสามีหรือภริยาจัดการสินสมรสไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘๐ บัญญัติให้อำนาจคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมในกรณีนี้เป็นเพียงการขอให้เพิกถอนการจัดการสินสมรสที่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งจัดการไปโดยปราศจากอำนาจเพื่อให้ทรัพย์สินนั้นกลับคืนมาเป็นสินสมรสตามเดิม ทั้งยังเป็นการดำเนินคดีเกี่ยวกับการสงวนรักษาสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๗ ซึ่งบัญญัติให้สามีภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิทำได้ ดังนั้น แม้โจทก์มิได้ฟ้องทายาทโดยธรรมหรือผู้จัดการมรดกของสามีโจทก์ที่ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยเข้ามาเป็นจำเลยด้วย ก็หาทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีดังที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา

ธันวาคม ๒๕๖๔


เผยแพร่โดย

แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่