เชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์ซื้อสินค้าที่มีอันตรายหรือไม่ได้มาตรฐานหรือสินค้าหมดอายุโดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ เช่น เครื่องเล่นเด็ก ชุดของขวัญในเทศกาลต่าง ๆ หรือเครื่องสังฆทานถวายพระภิกษุที่ใส่รวมในถังเปล่าสำเร็จรูป กรณีเช่นนี้ผู้ได้รับความเสียหายจะเรียกร้องจากใครได้บ้างซึ่งเราจะมาวิเคราะห์กันในเรื่อง สิทธิผู้บริโภค
สิทธิผู้บริโภค ตามกฎหมายกำหนดให้ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับความคุ้มครองดังต่อไปนี้
(๑) สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับ
สินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการตามความเป็นจริงโดยไม่ถูกหลอกลวงหรือหลงผิด เช่น สินค้าต้องแสดงฉลากตามความเป็นจริงไม่โฆษณาเป็นเท็จหรือเกินจริง เป็นต้น
(๒) สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะเลือกซื้อสินค้าโดยสมัครใจไม่ถูกบังคับหรือกลอกลวงหรือชักจูงให้หลงผิดในการชื้อสินค้านั้น
(๓) สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับสินค้าหรือบริการที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน
(๔) สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา ได้แก่ สิทธิที่จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบในการทำสัญญาของผู้ประกอบกิจการ
(๕) สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ได้แก่ สิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ที่ทำการละเมิดสิทธิดังกล่าวได้
กฎหมายกำหนดคำว่า ผู้บริโภค หมายถึง ผู้ซื้อหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ซื้อโดยตรง ดังนั้นผู้ที่ได้รับการให้สินค้าดังกล่าวก็ถือว่าเป็นผู้บริโภคที่จะต้องได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคได้แก่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค( สคบ.) ทำหน้าที่ดูแลและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจโดยไม่เป็นธรรม และมีบริการรับเรื่องร้องทุกข์จากผู้บริโภคเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภค
ขั้นตอนการคุ้มครองจะเริ่มที่ประชาชนยื่นคำขอว่าได้รับความเสียหายจากสินค้าหรือบริการใดบ้างต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค( สคบ.) เจ้าหน้าที่จะรับคำขอและตรวจสอบเอกสารแล้วส่งไปยังกองงานที่รับผิดชอบเพื่อแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเชิญคู่กรณีมาเจรจาไกล่เกลี่ย หลังจากนั้นหากผลออกมาว่าการเจรจาไกล่เกลี่ยไม่ได้ผลหรือมีการกระทำที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ก็จะเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการเฉพาะเพื่อพิจารณาผ่านไปยังคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในการพิจารณาและมีมติต่อไป แล้วแจ้งผลให้ผู้ร้องทราบ
หากสินค้าหรือบริการใดมีความไม่ปลอดภัยคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคก็ยังมีอำนาจสั่งห้ามขายหรือจำหน่ายได้ซึ่งผู้ฝ่าฝืนมีโทษทางอาญาทั้งจำคุกและปรับ เช่น คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเรื่องห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่น, เรื่องห้ามขายสินค้า “ของเล่นชนิดพองตัวเมื่อแช่น้ำ หรือตัวดูดน้ำ” เป็นต้น
จากหลักการของกฎหมายข้างต้น คงพอจะทำให้เห็นแล้วว่าสินค้าอันตรายหรือสินค้าที่มีการละเมิดสิทธิผู้บริโภค ปัจจุบันได้มีกฎหมายออกมาคุ้มครองและมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องตระหนักถึงภาระหน้าที่จะต้องผลิตสินค้าและจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐานไม่ไปละเมิดสิทธิผู้บริโภคมิฉะนั้นก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายและบางครั้งอาจต้องโทษอาญา หากการกระทำเข้าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายห้ามไว้